คมชัดลึก :บทวิเคราะห์ของเอเชีย ไทม์ส ระบุว่า เสื้อแดงแผ่ว ทักษิณผิดพลาดซ้ำซาก หมดหนทางโค่นอำนาจรัฐบาล ยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดซ้ำซาก ที่รวมทั้งการไปเป็นพันธมิตรกับผู้นำชาติปรปักษ์อย่างนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา
(17มี.ค.) บทวิเคราะห์ในเว็บไซท์เอเชีย ไทม์ส ออนไลน์
ระบุว่า แม้จะจัดการชุมนุมใหญ่เพื่อให้ภาพปรากฎทางจอโทรทัศน์,การปรา ศรัยปลุกเร้า,การโฟนอินจากผู้นำที่หลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ และการหลั่งเลือดตามพิธีกรรมอันแปลกประหลาด แต่แนวร่วมประชา ธิป ไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง ยังขาดหนทางและความชอบธรรมในการบีบให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ และรัฐบาลผสมที่อยู่ในอำนาจมา 15 เดือน ต้องลงจากอำนาจ
สื่อในประเทศพากันเกาะติดการชุมนุมของคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ และมักจะรายงานในไปเชิงที่ว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าอิทธิพลทางการเมืองของ พตท.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงอยู่
แต่กระแสที่แผ่วลงมาในการชุมนุมในวันที่ 3 และเกิดความตึงเครียดครั้งใหม่ของบรรดาสมาชิกคนสำคัญในฝ่ายการเมือง ได้สะท้อนถึงความสิ้นหวังทั้งในเรื่องการเมืองและเรื่องส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของ พตท.ทักษิณ แทนที่จะเป็นการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ในขณะที่คนเสื้อแดง ไม่สามารถระดมพลจากทุกสารทิศได้ใกล้ตัวเลข 1 ล้านคน ตามที่แกนนำประกาศไว้ว่า จะขนคนเสื้อแดงขึ้นรถมาจากต่างจังหวัดมายังเมืองหลวง เพื่อกดดันรัฐบาลให้ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่นั้น ก็ประสบความสำเร็จอยู่บ้างในการจัดการชุมตามฐานเสียงของ พตท.ทักษิณ ที่ส่วนใหญ่เป็นคนยากจนในจังหวัดทางภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ
และการคบหาอย่างเปิดเผยกับพวกทหารอันธพาล ที่ขู่จะลอบสังหารหรือการก่อวินาศกรรมวางระเบิดไปทั่วกรุงเทพฯ ล้วนแต่ยิ่งทำให้เกิดตวามแตกแยกร้าวลึกในค่ายการเมืองที่มีแนวคิดไม่ลงรอยของเขาเอง ที่ประกอบด้วย กลุ่มคนเสื้อแดง,พรรคเพื่อไทยและเครือข่ายในวงการตำรวจและทหารนอกราชการ ที่บางฝ่ายถึงกับตั้งคำถามว่าเกี่ยวอะไรกันด้วย ที่แกนนำคนเสื้อแดงจะต้องไปรับบริจาคเลือดจากผู้ประท้วงที่เหนื่อยล้าเพราะสภาพอากาศ เพื่อเอาไปเทราดที่หน้าทำเนียบรัฐบาล
ไทมส์ชี้แดงแผ่วแม้วหมดทางโค่นมาร์ค
อย่างน้อยที่สุดการชุมนุมครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมในตัวทักษิณ แต่นักวิเคราะห์ก็ยังไม่แน่ใจว่า ในจำนวนผู้ชุมนุม 1 แสนคน
มีกี่คนที่มาด้วยอุดมการณ์และอีกกี่คนที่มาเพราะได้รับค่าตอบแทน ตามที่มีการตั้งข้อสงสัยและมีการรายงานข่าว แต่ที่ชัดเจนคือ ความชื่นชอบในตัวพตท.ทักษิณ นั้นมีมากกว่าการเรียกร้องประชาธิปไตยหรือความเสมอภาค ที่อยู่บนสีเสื้อหรือตามป้ายต่าง ๆ ของคนเสื้อแดง เหตุการณ์ที่พวกเสื้อแดงก่อความไม่สงบที่กรุงเทพฯ กับพัทยา เมื่อเดือนเมษายน ได้ทำให้คนส่วนใหญ่ วิตกว่า การชุมนุมในปัจจุบันอาจนำไปสู่ความรุนแรง และทหารอาจถูกเรียกเข้ามากวาดล้าง การจลาจลเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะ พตท.ทักษิณ เรียกร้องให้พวกเสื้อแดงปฏิวัติทางสังคมต่อต้านรัฐบาล ที่นักวิเคราะห์หลายคน พากันประหลาดใจว่าพตท.ทักษิณ ผู้หลบหนีกระบวนการยุติธรรม จะหันไปพึ่งวิธีการ " บริ๊งแมนชิพ " หรือ ศิลปแห่งการนำประเทศไปสู่ขอบเหว เพื่อผลักดันความต้องการของตนเองและกอบกู้ทรัพย์สินที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้ยึดทรัพย์เขาเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
รัฐบาลได้เดินเกมด้วยการอ้างรายงานข่าวกรองที่ได้รับจากสหรัฐว่า การประท้วงจะลุกลามเป็นความรุนแรง อันเป็นความชอบธรรมในการใช้ปฏิบัติการก่อนภายใต้กฎหมายความมั่นคงภายใน
แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ยืนยันที่จะยังไม่ใช้ข้อบังคับตามกฎหมาย ที่เปิดทางให้ทหารได้อำนาจเป็นกรณีพิเศษ ในการรักษาความสงบเรียบร้อย นับตั้งแต่เกิดจลาจลเมื่อเดือนเมษายนที่คนเสื้อแดงกล่าวหาว่า เขากำลังปล่อยให้รัฐบาลเข้าครอบงำสังคมไทยอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง แกนนำเสื้อแดงได้ประกาศจะต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง และยังทำป้ายเป็นภาษาอังกฤษให้ผู้สื่อข่าวต่างชาติได้เข้าใจอีกด้วย ขณะที่ พตท.ทักษิณ ได้โฟนอินเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลว่า เป็นการใช้สองมาตรฐานในสังคมไทย ที่ให้อภิสิทธิ์คนร่ำรวยและผู้มีอำนาจอยู่เหนือกว่าคนยากจน แต่เขาก็ไม่เคยพิสูจน์ความจริงในรายละเอียดว่าทำไมคำพิพากษาถึงไม่น่าเชื่อถือ แต่มักจะอ้างเรื่องผู้มีบารมีที่ขัดขวางประชาธิปไตยและอยู่เบื้องหลังการโค่นอำนาจรัฐบาลของเขา ที่มาจากการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตย เมื่อปี 2549
ในขณะที่คนเสื้อแดงพยายามจะกดดันให้นายกฯ อภิสิทธิ์ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่
แต่ก็ไม่อาจบอกได้อย่างเต็มปากว่า รตอ.เฉลิม อยู่บำรุง นักการเมืองที่เรียกกระแสความขัดแย้งของพรรคเพื่อไทย เป็นตัวเก็งที่จะชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะบุตรชายของเขาก็มีชนักติดหลังเรื่องคดีฆาตกรรมตำรวจ เมื่อปี 2544 ขณะที่คนจำนวนมากบอกว่ารตอ.เฉลิม เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของสองมาตรฐาน ที่เอื้อประโยชน์ให้คนที่มีอำนาจ เพราะบุตรชายของเขาสามารถหลุดคดี เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ เมื่อปี 2547 และยังได้รับแรงส่งจากบิดาให้เป็นดาวรุ่งทางการเมืองอีกด้วย