โดย ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ น.ส.พินทองทา ชินวัตร หรือ "เอม" บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งข้อสงสัย หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีร่ำรวยผิดปกติกว่า 46,000 ล้านบาทโดยองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนมีเสียงเป็นเอกฉันท์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)จำนวน 1,449 ล้านหุ้น แต่อำพรางหรือซุกไว้ในชื่อลูกและเครือญาติก่อนที่จะขายให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้ง จำกัด ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลภาษีอากรกลางโดย บุคคลทั้งสองได้ยื่นฟ้องให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่มีความเห็นว่า การประเมินภาษีเงินได้บุคคลทั้งสองของกรมสรรพากรชอบแล้ว
แต่ทำไมเมื่อ นายพาทนทองแท้(โอ๊ค) และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 329.2 ล้านหุ้นจาก บริษัท แอมเพิลริช อินเวสท์เมนท์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 ทำให้ได้ผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้นละ 48.26 บาท จึงโดนกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเกือบ 12,000 ล้านบาท
"เรื่องคดี ยอมรับว่า เอมก็งงมาก... เพราะว่า เรื่อง หุ้นตัวเดียวกัน คือ บอกว่า เป็นของพ่อ โอ๊คกับเอมเป็นนอมินี ก็ยึดทรัพย์ไป 4.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ทางกรมสรรพากรก็บอกว่า โอ๊คกับเอมเป็นเจ้าของทรัพย์(หุ้น) ขายแล้วได้กำไร ก็มาขอเก็บภาษีอีก 1.2 หมื่นล้านบาท เอมก็งงอยู่ว่า หุ้นเดียวทำไมมีสองกรณี ก็งงค่ะ ชื่อบัญชี(เงินฝาก)เป็นของเอม ก็ไม่ได้คืนสักบาท ถูกยึดหมด ตอนนี้ยังไม่รู้เอาเงินจากไหนมาเสียภาษี"
ในประเด็นดังกล่าวนี้ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณได้หยิบยกขึ้นมาต่อสู้ในศาลฎีกาฯแล้วโดยระบุว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)ดำเนินการ 2 มาตรฐาน นอกจากให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากจากนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทาแล้ว กลับกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงถือหุ้นบริษัทชินคอร์ป ในหุ้นจำนวนเดียวกัน เป็นคดีนี้อีก
แต่ศาลฎีกาฯวินิจฉัยว่า การให้เรียกเก็บภาษีอากรจากนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทาที่ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ป จากบริษัทแอมเพิลริช เป็นการดำเนินกานรตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากร อันเป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดให้ผู้มีเงินได้พึงประเมินมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนด
ไขปมคดีภาษีโอ๊ค-เอม12,000 ล้าน หลังศาลฎีกาฟันธงแม้ว ซุกหุ้น ยึดทรัพย์46,000ล้าน
นอกจากนี้ มาตรา 61 แห่งประมวลรัษฎากร ก็บัญญัติหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ว่า บุคคลใดมีชื่อในหนังสือสำคัญใดๆ แสดงว่า
(1) เป็นเจ้าของทรัพย์สิน อันจะระบุไว้ในหนังสือสำคัญ และทรัพย์สินก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน หรือ
(2) เป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมิน โดยหนังสือสำคัญเช่นว่านั้น
เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีทั้งหมด จากผู้มีชื่อในหนังสือสำคัญนั้นก็ได้
การดำเนินการทางภาษีอากรกับผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 3 (นายพานทองแท้และ น.สงพิณทองทา)จึงเป็นการดำเนินการตามหลักการแห่งประมวลรัษฎากร
ส่วนการกล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณร่ำรวยผิดปกติในคดีนี้ เป็นการดำเนินการกับเจ้าของที่แท้จริงในหุ้นบริษัทชินคอร์ป ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความรับผิดทางภาษีอากร โดยมีหลักกฎหมายในการพิจารณาที่แตกต่างกัน ข้อต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 จึงฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณารายละเอียดคำพิพากษาของศาลฎีฯในคดียึดทรัพย์แล้ว เห็นว่า ประเด็นที่ศาลฎีาฯวินิจฉัยคือ ทั้งนายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์และบริษัท แอมเพิลริชฯ ล้วนเป็น"ผู้ถือหุ้น(บริษัทชินคอร์ป)แทน"หรือเป็น"นอมินี"ของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน จนกระทั่งมีการการขายหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่บริษัท เทมาเส็ก โฮลดิ้ง จำกัดนเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549
ดังนั้น ไม่ว่า จะมีการโอนหุ้นกันระหว่างบุคคลดังกล่าวกันกี่ทอดหรือโอนกันไปอย่างไร บุคคลดังกล่าวก็ยังคงเป็น"ผู้ถือหุ้นแทน"หรือ"นอมินี"ของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานอยู่ดี
จากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาฯดังกล่าว ประเด็นที่ต้องพิจารณาดังนี้
หนึ่ง เมื่อทั้งนายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทา และบริษัทแอมเพิลริชฯล้วนเป็นผู้ถือหุ้นแทนหรือเป็น"ตัวแทน"ของ พ.ต.ท.ทักษิณ
ดังนั้นหลักการคือ การโอนทรัพย์สินไปมาระหว่างตัวแทนกับตัวแทน หรือการโอนทรัพย์สินจากตัวแทนคืนสู่"ตัวการ"คือ พ.ต.ท.ทักษิณหรือคุณหญิงพจมาน ย่อม ไม่เกิดผลประโยชน์ใดๆกับกับ"ตัวแทน"
เมื่อไม่เกิดผลประโยชน์ จึงไม่เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39
จากหลักการดังกล่าว เมื่อบริษัท แอมเพิลริช ซึ่งเป็นตัวแทนของพ.ต.ท.ทักษิณ โอนหุ้นให้กับนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทาซึ่งเป็นตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณเช่นกัน บุคคลทั้งสองจึงไม่ได้ผลประโยชน์จากการโอนหุ้นดังกล่าว จึงไม่มีเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 39
สอง แต่เนื่องจากประเด็นนี้ หลังจากที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีมติยืนตามคำสั่งกรมสรรพากรให้เรียกเก็บภาษีจากบุคคลทั้งสองเกือบ 12,000 ล้านบาทแล้ว บุคคลทั้งสองได้ยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งในคำฟ้องและข้อต่อสู้ของบุคคลทั้งสองในชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยืนยันว่า ตนเองเป็นผู้ถือหุ้น(เจ้าของ)ในบริษัท แอมเพิลริชฯ และเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงของบริษัทชินคอร์ปที่ถืออยู่ก่อน
ดังนั้น ในกรณีที่บุคคลทั้งสองต้องการได้รับผลจากคำพิพากษาของศาลฎีกาฯคดียึดทรัพย์ ก็ต้องยอมรับข้อเท็จจริงในคำพิพากษาเสียก่อนว่า เป็นเพียงผู้ถือหุ้นแทน พ.ต.ท.ทักษิณ จึงจะสามารถนำคำพิพากษาของศาลฎีาฯมาใช้เป็นพยานหลักฐานในการต่อสู้คดีภาษีได้(แต่ต้องดูเงื่อนไขในกฎหมายวิธีพิจารณาว่า หมดระยะเวลาในการยื่นแก้ไขคำฟ้องหรือยัง หรือสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้หรือไม่)
อย่างไรก็ตามการยอมรับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯเพื่อประโยชน์ในคดีภาษี ก็อาจขัดแย้งกับคำร้องที่ต้องยื่นอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่ทั้งพ.ต.ท.ทักษิณและผู้คัดค้าน(คุณหญิงพจมาน ลูก และเครือญาติ)น่าจะต้องยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานได้โอนหุ้นให้กับลูกและเครืญญาติไปแล้วจริงก่อนที่จะขายให้แก่บริษัทเทมาเส็ก
สาม ในการที่กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทานั้น ใช้หลักการตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2538 ซึ่งพนักงานลูกจ้าง กรรมการ ที่ปรึกษาได้รับผลประโยชน์ส่วนต่างจากราคาหุ้นที่บริษัทหรือนิติบุคคลโอนให้มาคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39
ดังนั้น แม้ศาลฎีกาฯจะวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังคงเป็นเจ้าของบริษัท แอมเพิลริชที่แท้จริง ด้วยเหตุผลว่า
"ผู้ถูกกล่าวหา(พ.ต.ท.ทักษิณ)อ้างว่าได้ขายหุ้นบริษัทแอมเพิลริชให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2543 ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้มีอำนาจแต่ผู้เดียวในการเบิกถอนเงินจากบัญชีของบริษัทต่อมาอีกถึง 4 ปี ประกอบกับราคาที่อ้างว่าซื้อขายกัน 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกเรียกเก็บค่าหุ้น 1 หุ้น ทั้งที่การขายหุ้นดังกล่าวเป็นผลให้ผู้ซื้อได้ไปซื้อหุ้นของบริษัทชินคอร์ป จำนวนหุ้นปี 2543 ถึง 32,920,000 หุ้น(ก่อนแตกพาร์เป็นหุ้นละ 1 บาท เท่ากับมีหุ้น 329.2 ล้านหุ้น) โดยชำระเงินเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น เป็นข้อกล่าวอ้างที่ไม่มีเหตุผลให้รับฟัง"
แต่ในคำวินิจฉัยมิได้ระบุชัดว่า หุ้นชินคอร์ปจำนวน 329.2 ล้านหุ้น เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทแอมเพิลริชฯหรือบริษัทเป็นเพียงผู้ถือหุ้นแทนหรือ"ตัวแทน"ของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น
ถ้าบริษัท แอมเพิลริชฯเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หุ้นชินคอร์ปจำนวน 329.2 ล้านหุ้น การโอนหุ้นจำนวน 329.2 ล้านหุ้นให้แก่กรรมการบริษัท(นายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทา)ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท ก็ถือว่าได้รับผลประโยชน์ส่วนต่างราคาหุ้นตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรที่ 28/2538 จึงเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39
เพียงแต่ว่า เมื่อบุคคลทั้งสองเป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ได้รับผลประโยชน์จากส่วนต่างราคาหุ้นที่แท้จริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ
ดังนั้น ผู้ที่ต้องเสียภาษีที่แท้จริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 824 ระบุว่า ตัวแทนคนใดทำสัญญาแทนตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศ ท่านว่าตัวแทนคนนั้นต้องรับผิดตามสัญญานั้นตามลำพังตนเอง แม้ทั้งชื่อของตัวการจะได้เปิดเผยแล้ว เว้นแต่ข้อความแห่งสัญยาจะแย้งกันกับความรับผิดของตัวแทน
สรุปแล้ว การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ(ตัวการ)หลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ ทำให้ลูกๆต้องรับผิดในฐานะ"ตัวแทน"ตามกฎหมาย