ทักษิณ สิ้นอำนาจ หมดเวลาสมประโยชน์

จากความตั้งใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และบรรดาแกนนำพรรคไทยรักไทย ถึงขนาดประกาศต่อหน้าสาธารณชนหลายครั้งหลายหนว่า


พวกเราจะสร้างพรรคไทยรักไทยให้เป็นสถาบันการเมือง อยู่คู่ประเทศไทยไปตลอด

คนที่ได้ยินได้ฟังต่างก็เชื่อมั่นว่า พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคของเขาจะสามารถทำได้ตามที่ประกาศไว้

เพราะในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ทุกคนต่างก็ได้เห็นกันชัดเจนแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถนำพาพรรคไทยรักไทยให้ขึ้นมาโดดเด่นในเวทีการเมืองได้อย่างน่าตื่นตะลึง

โดยเฉพาะในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548


พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง อย่างถล่มทลาย

กวาด ส.ส.เข้าสภาฯ มาได้ถึง 377 เก้าอี้ จากทั้งหมด 500 เก้าอี้

ส่งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวบริหารประเทศได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

คุมอำนาจการปกครองไว้ในกำมือ แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

หลายคนต่างก็คิดว่าพรรคไทยรักไทยคงจะได้ครองอำนาจทางการเมืองยาวไปอีกไม่ต่ำกว่า 20 ปี

การยกระดับพรรคให้เป็นสถาบันการเมือง อยู่ แค่เอื้อม


แต่ปรากฏว่า เมื่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน

ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องไปหลบมรสุมรัฐประหาร อยู่ที่มหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ

บรรดาแกนนำพรรคคนอื่นๆต่างก็เคว้งคว้าง

ยิ่งเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาทำหน้าที่

ประกอบกับมีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯฉบับที่ 27 สั่งให้เพิ่มโทษกรณีศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้ยุบพรรคการเมืองใด ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นเป็นเวลา 5 ปี

หัวหน้ากลุ่มก๊วนและบรรดาอดีต ส.ส.ของพรรค ต่างพากันยกโขยงแห่ยื่นใบลาออก จากการเป็น กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคไปแล้วนับร้อยคน



ชิ่งหนีโทษเว้นวรรคการเมือง 5 ปี จากคดียุบพรรค กรณีจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งที่เรื่องยังคาอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ

ทำให้พรรคไทยรักไทยมีสภาพไม่ต่างไปจากผึ้งแตกรัง

ที่สำคัญ ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่า ลาออกแล้วจะรอดสันดอน รึเปล่า

แต่แกนนำหลายคนในพรรคก็มองว่า ในสถานการณ์ อย่างนี้ ถ้าถอยออกมาก่อนจะปลอดภัยกว่า เพราะอย่างน้อยก็จะไม่ถูกขั้วอำนาจใหม่เขม่น

ไทยรักไทย แตกกระจาย แกนนำเครือข่ายแตกกระจุย

ขณะเดียวกัน ก็ส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องตัดสินใจร่อนจดหมายข้ามทวีป ประกาศขอลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทย


โละกรรมการบริหารพรรคทั้งชุด เพื่อลดภาพ พรรคแตก

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์มาถึงตอนนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า แกนนำกลุ่มก๊วนบางคนเตรียมไปตั้งพรรคใหม่ ในขณะที่บางรายก็เตรียมย้ายรังไปซบพรรคการเมืองอื่น

แตกกระจายไปคนละทิศละทาง


นี่คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากคณะปฏิรูปการปกครองฯ ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากรัฐบาล ทักษิณ

ตรงนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า

หมดวาระของการสมประโยชน์

ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ ขอบอกว่า หากย้อนกลับไปมองการเมืองในอดีตที่ผ่านมา ก็เคยมีพรรค การเมืองใหญ่หลายพรรคที่ตั้งขึ้นมาใหม่


ลงสนามเลือกตั้งแล้วได้รับชัยชนะ ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พร้อมกับประกาศว่าจะสร้างพรรคให้เป็นสถาบันการเมือง

แต่ในที่สุดเมื่อหมดอำนาจ การเมืองเปลี่ยนขั้ว

ก็ต้องแตกสลายไป

เพราะในความเป็นจริงแล้ว พรรคการเมืองเหล่านี้เป็นเพียงพรรคเฉพาะกิจ

ซึ่งพรรคประเภทนี้ มีมาตั้งแต่ยุคแรกๆที่มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่ของแปลกใหม่ เพียงแต่ อาจเปลี่ยนรูปแบบไปตามยุคตามสมัย

อย่างในสมัยก่อน หลังจากมีการปฏิวัติรัฐประหารก็มักจะมีพรรคการเมืองใหม่ๆ ก่อตัวขึ้นมาสืบต่ออำนาจ


โดยส่วนใหญ่เป็นพรรคการเมืองที่มีนายทหาร และพวกศักดินาเป็นหัวหน้าพรรค มีกลุ่มทุนต่างๆแอบหนุนอยู่ข้างหลัง

เปลี่ยนผ่านมาจนถึงยุคปัจจุบัน ตัวแทนกลุ่มทุนจากที่เคยอยู่เบื้องหลัง ก็เริ่มเปิดหน้าเปิดตัวออกมาอยู่ฉากหน้า

ตั้งพรรคเอง โดดลงมาเล่นเอง

แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็ส่อเค้าส่อแวว ว่าจะต้องเผชิญกับการล่มสลายเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะจากสถานการณ์แพแตกของพรรคไทยรักไทย หลังโดนรัฐประหารยึดอำนาจ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า

เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้

ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ ขอบอกว่า ตามทฤษฎีการเมืองในระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองที่มีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น


จะต้องเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่มีแนวคิด มีอุดมการณ์เดียวกัน เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายการเมืองในทิศทางเดียวกัน มีนโยบายเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

ที่สำคัญ การรวมตัวก่อตั้ง ขยายรากฐานให้พรรคเจริญเติบโต ต้องใช้เวลาหล่อหลอมยาวนาน จนกลมเกลียวเป็นเนื้อเดียวกัน

ถึงจะทำให้เกิดความแข็งแกร่ง มั่นคงยั่งยืน เป็นสถาบันการเมือง


สำหรับในประเทศไทย ถ้าพูดถึงพรรคการเมืองที่มีอายุเก่าแก่ยาวนาน ก็คงหนีไม่พ้นพรรคประชาธิปัตย์

ที่มาถึงวันนี้มีอายุกว่า 60 ปีแล้ว

พรรคการเมืองพรรคนี้ ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผ่านเหตุการณ์ รัฐประหาร ผ่านการปรับเปลี่ยนผู้นำพรรคมาแล้วหลายคน

แต่มาถึงวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังคงอยู่

ไม่ล่มสลายแตกดับ

สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เป็นสถาบันการเมือง

อีกพรรคการเมืองหนึ่ง ก็คือ พรรคชาติไทย ที่ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2518 โดยกลุ่มราชครู กลุ่มทุนศักดินา


เคยก้าวขึ้นจุดสูงสุดและตกต่ำ เปลี่ยนผ่านหัวหน้าพรรคมาแล้วหลายคน จนมาถึงยุคของนายบรรหาร ศิลปอาชา

พรรคชาติไทยก็ยังยืนอยู่บนเวทีการเมือง

ส่วนพรรคกิจสังคม ที่ก่อตั้งมาในยุคเดียวกันโดยกลุ่มทุนศักดินาและกลุ่มทุนธนาคาร เคยรุ่งเรืองในอดีต

แต่ปัจจุบันกลายเป็นเพียงพรรคขนาดจิ๋ว เป็นแค่พรรคอะไหล่ ชื่อเริ่มหายไปจากสังคมการเมือง เช่นเดียวกับอีกหลายๆพรรคที่เกิดในยุคเดียวกัน แต่วันนี้สูญสลายไปแล้ว

สำหรับพรรคไทยรักไทย ก่อเกิดขึ้นภายหลังจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ ปฏิรูปการเมือง ปี 2540


โดยเศรษฐีรวยเร็วยุคดิจิตอลที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ โดดลงมาตั้งพรรคเอง และรวบรวมคนในเครือข่ายเข้ามาเป็นทีมทำวิจัย

ออกนโยบายที่โดนใจคนระดับฐานล่าง

ชูภาพนักการเมืองรุ่นใหม่ ตามองดาวเท้าติดดิน คิดใหม่ทำใหม่

แต่เมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง เขาก็ใช้โครงสร้างหัวคะแนนของนักการเมืองยุคเก่า ที่เอาเข้ามา เป็นฐาน

ทำให้พรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะ ได้เป็นนายกฯสมัยแรก เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

จากนั้นก็เดินหน้าใช้นโยบายประชานิยมมัดใจชาวบ้าน พร้อมทั้งใช้อำนาจทุนและอำนาจรัฐ ดูดนักการเมืองและพรรคการเมืองเข้ามาเสริมฐาน

จนพรรคไทยรักไทยพองโต และเดินหน้ายุทธศาสตร์ 400 เสียง

ในขณะเดียวกัน ก็เริ่มเกิดปัญหาเรื่องการทุจริตคอรัปชันผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็ประคองตัวจนอยู่ครบเทอม 4 ปี


และในการเลือกตั้งใหญ่สมัยที่ 2 ด้วยอำนาจทุน อำนาจรัฐ ผสมผสานกับการแทรกแซงแทรกองค์กรอิสระ

ก็ส่งให้พรรคไทยรักไทย ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย

ทักษิณ ได้เป็นนายกฯอีกรอบ จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวบริหารประเทศ กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

แต่มีการใช้อำนาจที่ได้มาอย่างเหิมเกริม มุ่งไปเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง จนผู้คนในสังคมทนไม่ได้

ทำให้มีการชุมนุมประท้วงวุ่นวายไปทั่ว

เกิดปัญหาความแตกแยกในบ้านเมือง


จนเป็นเหตุนำมาสู่การรัฐประหารยึดอำนาจ

และสภาวะพรรคแตก

ทำให้ความหวังที่พรรคไทยรักไทยจะเป็นสถาบันการเมือง ปิดฉากลงไปด้วย

เหนืออื่นใด ทำให้นึกถึงคำพูดของ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่กล่าวไว้ว่า

ชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใครก็ตามแม้เพียงแต่คิดจะยึดถือเป็นของตนเอง หรือพรรคพวกของตนเอง เพื่อประโยชน์อันไม่ชอบธรรมต่อตนเอง หรือต่อพรรคพวกตนเอง จะพบกับความหายนะในที่สุด.




แหล่งที่มา:

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์