หลักฐานมัดแม้วดิ้นไม่หลุดยึดทรัพย์7.6หมื่นล้าน รบ.หวั่นงานเข้าแดงเดือด ยังไม่เลือกใช้กม.มั่นคงฯ

หลักฐานมัด"แม้ว"ดิ้นไม่หลุดยึดทรัพย์7.6หมื่นล้าน รบ.หวั่นงานเข้า"แดงเดือด" ยังไม่เลือกใช้กม.มั่นคงฯ

เผยอดดีตคตส.มั่นใจหลักฐานมัดตัว"ทักษิณ"ดิ้นไม่หลุดคดี"ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน" ทั้งลายเซ็นและคำให้การอดีตรัฐมนตรี นัดอัยการถกร่างคำแถลงปิดคดีเร็วๆ นี้ รบ.ประเมิน "เสื้อแดง"เคลื่อนไหว พยายามคุมไม่เกิด2มาตรฐาน ลดจุดเดือดม็อบ ชี้ยังไม่ถึงขั้นใช้กม.มั่นคงฯ

เผย3ขั้นศาลพิจารณายึดเงิน"แม้ว"


รายงานข่าว เมื่อวันที่ 16 มกราคม  จากคณะทำงานฝ่ายโจทก์คดียึดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำนวน 76,621 ล้านบาท เนื่องจากร่ำรวยผิดปกติเพราะใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ เปิดเผยว่า สำหรับวิธีการพิจารณาคดีนี้ คาดว่าศาลจะต้องพิจารณาเป็นลำดับขั้นตอนทีละประเด็นไป โดยจะต้องดูก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีการซุกหุ้นไว้ในชื่อบุคคลอื่นหรือไม่ หากซุกไว้จริงต้องมาดูต่อว่ามีการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ใน 5 กรณี อาทิ ให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยกู้ให้พม่า แก้กฎหมายแปลงค่าสัมปทานมือถือ ฯลฯ หรือไม่ หากพบว่าประเด็นต่างๆ เหล่านั้นเป็นไปตามข้อกล่าวหา ค่อยมาดูว่าจะยึดทรัพย์สินจำนวนเท่าใด


"ขณะนี้มีความพยายามจากคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ปล่อยข่าวว่า สามารถยึดเพียงบางส่วนได้ ทั้งที่ในกฎหมายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ใช้ในการไต่สวนคดีดังกล่าว ระบุว่า ให้ยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งอดีต คตส.หลายคนก็มั่นใจการพิจารณาคดีดังกล่าว เนื่องจากมีหลักฐานเป็นลายเซ็นของ พ.ต.ท.ทักษิณที่มัดว่าเจ้าตัวเป็นเจ้าของหุ้นบริษัท ชินคอร์ปฯจริง ขณะที่การใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ก็มีหลักฐานคำให้การของนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณสั่งให้เพิ่มเงินกู้จากเอ็กซิมแบงก์ให้พม่า" แหล่งข่าวระบุ และว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าศาลจะตัดสินออกมารูปแบบใด คณะทำงานฝ่ายโจทก์ก็พร้อมน้อมรับคำตัดสิน ทั้งนี้ ทางอัยการและอดีต คตส.จะมีการนัดประชุมกันในเร็วๆ นี้ เพื่อร่างคำแถลงปิดคดีที่ศาลกำหนดให้ส่งภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันไต่สวนพยานครั้งสุดท้าย 12 มกราคมที่ผ่านมา


รบ.ประเมิน "แดง" คดียึดทรัพย์เชื้อสำคัญ


ขณะทึ่ นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประเมินสถานการณ์กรณีกลุ่มคนเสื้อแดงเตรียมชุมนุมและเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อและประกาศล้มรัฐบาล ว่า ขณะนี้กำลังประเมินสถานการณ์ในทุกด้าน แต่ยังไม่เสร็จ แต่ในเบื้องต้นรัฐบาลได้เตรียมการรับมือไว้แล้ว โดยประเมินว่ามูลเหตุและเงื่อนไขการชุมนุมครั้งนี้ กลุ่มเสื้อแดงจะยกประเด็นสองมาตรฐานขึ้นเป็นหัวใจหลักในการเคลื่อนไหวและปลุกมวลชน การรับมือมีความพร้อม เพราะกองทัพและกลไกต่างๆ มีการวางระบบและเคยดำเนินการกันมาแล้วในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่มีหลักปฏิบัติเป็นขั้นเป็นตอน 


"การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงในครั้งนี้ มีลักษณะคล้ายกับการรวมตัวกันในช่วงเดือนเมษายน 2552 แต่ครั้งนั้นไม่สามารถผลักดันไปสู่จุดหมายปลายทางได้ เพราะยังใช้ยุทธศาสตร์ที่ค่อนข้างหยาบและเร่งเร้า ครั้งนี้ต่างจากเดิมตรงที่มีความสอดคล้องกับการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอีกหลายคดีที่กลุ่มคนเสื้อแดงอาจนำไปอ้างเรื่องสองมาตรฐานได้ ซึ่งคาดว่า หลังจากมีคำพิพากษาของศาล ทั้งหมดขึ้นกับคำบรรยาย หากสามารถทำให้สังคมเข้าใจที่มาที่ไปได้ เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ต้องการขยายผล น่าจะนำผลที่ออกมาไปตอกย้ำ ธงในการเคลื่อนไหวเรื่องสองมาตรฐาน เพื่อนำไปสู่จุดเดือด ฉะนั้น หลักของรัฐบาลต่อจากนี้คือ รัฐบาลต้องระวังการตัดสินคดีให้ดี อย่าทำให้เกิดปัญหา 2 มาตรฐาน เพราะจะเป็นตัวเร่งความรู้สึกของกลุ่มผู้ชุมนุมได้ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลพยายามลดเงื่อนไขนี้ โดยเฉพาะกรณีเขายายเที่ยง นายกฯได้สั่งการให้กรมป่าไม้รีบดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นถึงความเป็นธรรมและลดจุดเดือดของการชุมนุม" นายปณิธานกล่าว


นอกจากนี้ นายปณิธาน ยังกล่าวว่า รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาด้วยการใช้กฎหมายอย่างรอบคอบและมีเหตุผลอธิบายชัดเจน คือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง โดยไม่เพิ่มเงื่อนไขให้ฝ่ายตรงข้าม คาดว่าหากกลุ่มผู้ชุมนุมยังใช้ความรุนแรงจะทำให้จำนวนคนที่จะมาเข้าร่วมการชุมนุมลดลง เพราะเคยมีบทเรียนในการชุมนุมช่วงเดือนเมษายน ปี 2552 ซึ่งจะเหลือกลุ่มผู้ชุมนุมเพียงน้อยนิด จัดอยู่ในระดับฮาร์ดคอร์เท่านั้น และกลุ่มฮาร์ดคอร์จะเพิ่มดีกรีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้รัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้นขึ้นกับคนกลุ่มนี้ แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายหรือกำลังเจ้าหน้าที่จริง จะมีการทำตามขั้นตอน และมีคำอธิบายให้สังคมได้เข้าใจชัดเจน


ชี้ไม่ถึงขั้นใช้กม.มั่นคง


ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่ครั้งนี้กลุ่มเสื้อแดงมีฝ่ายยุทธศาสตร์ที่เป็นอดีตนักเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมาร่วมนำด้วย จะรุกลามถึงขั้นยุยงให้ทหารยิงประชาชน จนสุดท้ายรัฐบาลอยู่ไม่ได้หรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่มีคำอธิบายและมีเหตุมีผล ในทางกลับกัน บุคคลหรือกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่ออกมาแสดงออกผ่านสื่อว่าใช้ใช้แนวทางอย่างนั้นอย่างนี้ สังคมจะรับทราบเองว่าใครมีความคิดอย่างไร และจะใช้วิธีใด หากใช้ความรุนแรงนอกแบบเพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับ ผู้ที่ทำเช่นนั้นจะเป็นฝ่ายเสียเอง หากเจ้าหน้าที่ทำเกินเลย ก็จะดำเนินการตรงไปตรงมาตามกฎหมาย นอกจากนี้เมื่อเปิดสภาจะมีการรายงานการบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยอธิบายให้สังคมเข้าใจถึงต้นเหตุและขั้นตอนปฏิบัติได้ชัดเจน


เมื่อถามว่า ประเมินแล้วการชุมนุมครั้งนี้ ต้องใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงหรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า ขึ้นกับสถานการณ์ เบื้องต้นยังไม่ถึงขั้นนั้น


"สิ่งที่ทำให้รัฐบาลมีความมั่นใจคือ อารมณ์ของคนไทยในเวลานี้ ตั้งแต่ปลายปี 2552 จนถึงเวลานี้ คนไทยไม่ต้องการเห็นความรุนแรงอีกแล้วคือ เบื่อแล้ว และทุกคนตั้งตารอเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว ฉะนั้น ใครก็ตามที่เป็นฝ่ายสร้างความรุนแรง จะไม่เป็นที่ต้องการของสังคม แต่ก็ห่วงว่าจะมีคนที่คิดทำอะไรนอกแบบ เร้าสถานการณ์ให้ถึงจุดเดือด รัฐบาลเองระวังและจับตาดูคนเหล่านี้ เพราะในอดีตคนเหล่านี้เคยทำมาแบบใต้ดิน และไม่เปิดเผยมากนัก แต่วันนี้มีพร้อมทั้งการสนับสนุนและทุน ซึ่งอาจทำให้คนเหล่านี้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เราจึงต้องระวัง แต่ไม่ว่าจะทำอะไรไป สังคมวันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน มีทั้งสื่อที่ติดตาม และประชาชนที่รู้เท่าทัน"  นายปณิธานระบุ 


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์