ถอดรหัสวิธีคิด สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับภารกิจสร้างชาติ-สมานฉันท์

จากประชาชาติธุรกิจ



กล่าวกันว่า คุณูปการสำคัญที่ "พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์" สร้างไว้ให้กองทัพไทยก็คือ การพลิกภาพลักษณ์ของกองทัพจากหน้ามือเป็นหลังมือ ให้เป็นกองทัพที่ได้รับความไว้วางใจและเชื่อถือจากประชาชน จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "ทหารอาชีพ" และ "ทหารมืออาชีพ" ที่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ


ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อดีต ส.ว. นครราชสีมา เล่าว่า


"ทุกคนก็รู้ดีว่าคุณสุรยุทธ์เป็นบุคคลที่เป็นมืออาชีพ ไม่ใช่มืออาชีพอย่างเดียว แต่ได้แปรสภาพกองทัพมาเป็นกองทัพอาชีพด้วย ไม่ใช่กองทัพการเมือง ดึงกองทัพออกจากการเมืองอย่างสิ้นเชิงเลย" (ไทยโพสต์ แทบลอยด์ 24 ก.ย.)


ขณะที่ก่อนหน้านี้นิตยสารไทม์เคยให้เครดิตกับ พล.อ.สุรยุทธ์ ในเรื่องของการสร้างกองทัพจนมีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการเป็นกองกำลังรักษาสันติภาพ

ของสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก ต่อด้วยอัฟกานิสถาน และอาเจะห์
และแม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จในการขึ้นเงินเดือนให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ภายใต้การทำงานของนายพลเอกผู้นี้ กองทัพไทยได้รับการปันส่วนที่ดีขึ้น มีเคหสถานที่ดีกว่าเดิมและมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด


ไทม์ย้ำว่า มีไม่มากนักที่นายทหารผู้หนึ่งจะได้รับคำยกย่องชมเชยจากทั้งเพื่อนทหารด้วยกัน

กลุ่มต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้สื่อข่าวและนักวิเคราะห์กิจการด้านการทหารเหมือนนายทหารผู้นี้แน่นอน


อย่างไรก็ดี พล.อ.สุรยุทธ์มักออกตัวอยู่เสมอว่า เขาก็เป็นเพียงปุถุชนเดินดินคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ได้เป็นซูเปอร์แมน



ดังนั้นภาพที่หลายคนคุ้นเคยคือ พล.อ.สุรยุทธ์กับนายทหารผู้รักธรรมชาติ และชอบเดินป่าเป็นชีวิตจิตใจ ที่สำคัญคือการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย สมถะ ด้วยการยึดธรรมะเป็นหลักสำคัญในการดำเนินชีวิต

"อย่าคิดว่าคนที่เป็น ผบ.ทบ.ต้อง perfect ต้องดีเลิศ แต่จริงๆ แล้วผมก็เป็นแค่มนุษย์เดินดินธรรมดาๆ ผมเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ที่ไม่ใช่จะทำอะไรถูกใจคนทั้งหมด ก็ต้องมีทั้งคนชอบและคนไม่ชอบ มีคนติติง นินทา เพราะขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังถูกนินทา ถูกใส่ร้าย" พล.อ.


สุรยุทธ์กล่าวกับนักข่าวสายทหารเมื่อครั้งถูกเป็นเป้าโจมตีเรื่องตำแหน่ง ผบ.ทบ.


"ผมได้รู้ว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนให้คนพยายามหลีกเลี่ยงจากทุกข์ที่ทุกคนต้องเจอทั้งนั้น เมื่อได้ศึกษาไปอีกยิ่งได้เห็นว่าพุทธเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลทั้งสิ้น เป็นวิทยาศาสตร์ และสามารถนำมาปฏิบัติได้ทันที"

"คนส่วนใหญ่ไปกราบพระแล้วขอพร แบบนั้นไม่ใช่เลย หรือสวดมนต์ภาษาบาลีได้ แต่น้อยคนจะสนใจจริงๆ ว่าหมายถึงอะไร ความจริงพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราไปขอ

ให้เราจัดการของเราเอง ตัวอย่างเรื่องของความพยายามที่จะทำงานให้บรรลุผลสำเร็จอะไรสักอย่าง เริ่มแรกจะต้องมาจากความพอใจในงานนั้นๆ ตามหลักฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ถ้าทำได้อย่างนี้ก้าวหน้าแน่ๆ"


เริ่มจากความพอใจ ถ้าไม่พอใจผมคงไม่มาเป็นทหาร


"เริ่มจากความพอใจ ถ้าไม่พอใจผมคงไม่มาเป็นทหาร เมื่อมีความรักความพอใจแล้ว มันบังเกิดความอยากที่จะค้นคว้าศึกษาต่อ สิ่งที่ได้ต่อมาคือความเอาใจใส่ แล้วจะมีสมาธิ มีสติ

ตอนนั้นเวลาที่ครูสอนอะไร ผมแทบไม่ต้องจดเลย สิ่งที่ผมได้รับคือเห็นเป็นภาพ ไม่ได้เป็นตัวหนังสือ ผมมีความสามารถในการรับภาพได้ดี ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น"


หรือเมื่อครั้งได้รับเชิญไปบรรยายพิเศษเรื่อง คุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล สำหรับผู้บริหารตรวจสอบ

แก่สมาคมผู้ตรวจสอบภายในแห่งประเทศไทย เมื่อไม่นานมานี้ประโยคที่สะท้อนแนวคิดธรรมาภิบาลไว้อย่างน่าสนใจ

"สิ่งสำคัญที่เป็นส่วนประกอบหลักในการบริหารงานองค์กรคือ ถ้าหัวไม่ส่าย หางก็ไม่กระดิก ดังนั้นผู้นำองค์กรต้องเลือกคนที่มีความรู้คู่ความดีมาบริหาร

สิ่งที่ผมยังเห็นว่าสังคมปัจจุบันยังคงขาดแคลนและมีปัญหาคือ การปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้กับเด็กและเยาวชน เพราะที่ผ่านมาใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ไม่มีรายละเอียดในรายวิชาด้านความรู้และคุณธรรมควบคู่กันไป ดังนั้นจึงต้องการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันให้ความสำคัญ เพราะหากจะสร้าง

ผู้นำในอนาคตให้มีคุณภาพ แต่ไม่มีพื้นฐานด้านจริยธรรม คุณธรรมทางการศึกษา อนาคตก็คงไม่แจ่มใสนัก"


พล.อ.สุรยุทธ์เล่าว่า ในช่วงที่อยู่ในฐานะผู้บริหารองค์กรใหญ่ ได้ยึดหลักธรรมาภิบาลคือ โปร่งใสและเป็นธรรม ใช้เป็นแนวทางในการทำงาน

มีความโปร่งใสในด้านการจัดซื้อจัดหาอาวุธ การก่อสร้างต่างๆ ก็พยายามทำให้มีคุณภาพและโปร่งใสที่สุด

"ตัวผมพยายามทบทวนตรวจสอบตัวเองในเวลาเช้าทุกวัน ว่า เมื่อวานที่ผ่านมาเราทำอะไรไม่ดีบ้าง เพื่อเป็นการเตือนตัวเองให้แก้ไขและปรับปรุงและนำสิ่งเหล่านี้ไปปรับใช้ในการทำงาน ในองค์กรของตัวเอง"


หรือกับปัญหาภาคใต้ พล.อ.สุรยุทธ์เคยเสนอแนวคิดว่า เขามีโอกาสริเริ่มโครงการที่เรียกว่าสานใจไทยสู่ใจใต้ โดยมูลนิธิรัฐบุรุษ



"อยากจะให้นำเยาวชนจากทางภาคใต้เข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ข้อคิดเห็นจากเยาวชนในกรุงเทพฯ ออกมาด้วยโครงการทดลองที่นำเยาวชนจากทางภาคใต้ทั้งชายและหญิงโดยที่กำหนดอายุ 15-18 ปี จำนวน 30 คน เข้ามาพักอยู่กับครอบครัวไทยมุสลิมในภาคกลาง ตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานว่า เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา

จะทำอย่างไรที่จะทำให้คนทั้งสองส่วนได้มีการพบปะเข้าใจกันบ้างว่า มีส่วนที่เป็นผลลบและส่วนที่เขาน่าจะเข้าใจและปรับเปลี่ยนด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของกันและกันบ้าง ข่าวที่ออกมาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนมากเป็นข่าวเชิงลบ ข่าวเชิงบวกค่อนข้างจะมีน้อย ทำอย่างไรจะได้มีข่าวในเชิงบวกเพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นได้ ข่าวที่จะเป็นประโยชน์เราต้องดูในส่วนที่จะเป็นประโยชน์ ควรจะออกมาในช่วงเวลาไหนที่เหมาะที่ควรอย่างไร

การที่จะสร้างความเข้าใจเฉพาะในส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเดียวคงไม่ได้ เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนและองค์กรอิสระที่จะสร้างความรัก ความสามัคคีให้เกิดขึ้น"

ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของคำพูดซึ่งสะท้อนวิธีคิดและตัวตนของ "ผู้นำ" ซึ่งกำลังก้าวข้ามจากมิติแห่งประสบการณ์ "ทหารอาชีพ" มาสู่ภารกิจที่ยิ่งใหญ่และท้าทายมากกว่า

นั่นคือสร้างชาติ จัดแถวสังคมไทยให้กลับสู่วิถีทาง "สมานฉันท์" !

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์