ที่บ้านพักในซอยราชครู เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม นายปองพล อดิเรกสาร อดีตประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก
กล่าวถึงกรณีศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ที่เห็นชอบให้นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ไปร่วมลงนามแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาในการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ว่า เรื่องนี้ไม่มีผลอะไร เพราะรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ตนยังไม่เห็นบทลงโทษเรื่องนี้ ความจริงการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาถือว่าสมบูรณ์แล้ว เพียงแต่คณะกรรมการมรดกโลกได้มอบหมายให้กัมพูชาไปจัดทำแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารมาเสนอเท่านั้น
ส่วนที่มีข่าวว่าว่าในแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารได้รวมพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรเข้าไปด้วยนั้น นายปองพลกล่าวว่า
ต้องพูดด้วยความเป็นธรรมว่ารัฐบาลนายสมัครเป็นคนช่วยให้ไทยไม่ต้องเสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรไป เพราะเดิมกัมพูชาได้รวมพื้นที่ดังกล่าวไว้ด้วยในการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่บังเอิญกระทรวงการต่างประเทศไปตรวจพบ และเจรจาจนฝ่ายกัมพูชายอมถอนในส่วนนี้ออกไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ห่วงหรือไม่ว่ากัมพูชาจะเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลไทยหนัก โดยนำกรณีปราสาทพระวิหาร และกรณีพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาอ้าง นายปองพลกล่าวว่า
“จะมองอย่างนั้นก็ได้ ผมไม่เห็นว่ารัฐบาลกัมพูชาเข้าใจคุณค่าอย่างแท้จริงในทางมรดกโลก แต่ใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองทั้งในประเทศ ด้วยการกระตุ้นให้คนกัมพูชารักชาติ และเป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศด้วย เพราะถ้าเขามองในทางคุณค่าของมรดกโลกจริงๆ ก็ต้องเสนอให้ขึ้นทะเบียนร่วมกันแล้ว”
เมื่อถามว่า จะแนะนำรัฐบาลให้แก้ปัญหานี้อย่างไร นายปองพลกล่าวว่า
ต้องยอมรับว่าสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีปัญหากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รมว. ต่างประเทศ เพราะได้พูดเรื่องนี้หลายครั้ง ดังนั้นก็ต้องแก้ในจุดนี้ ตัวช่วยของนายอภิสิทธิ์มีเยอะ เพราะคนไทยที่ไปทำมาหากินและสนิทกับสมเด็จฯ ฮุนเซนมีจำนวนมาก ไม่ได้มีแค่พ.ต.ท. ทักษิณเท่านั้น