นายกฯยันต่อที่ประชุมรัฐภาคีฯ ไทยห่วงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ วอนทุกฝ่ายร่วมแก้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมา เวลา 13.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ณ เบลล่า เซ็นเตอร์ กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมระดับสูงของการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 15 และพิธีสารเกียวโตสมัยที่ 5 ว่า ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่ง เราต่างต้องร่วมกันต่อสู้กับปัญหานี้ร่วมกันอย่างจริงจัง และถือเป็นสิ่งที่เร่งด่วนที่เราจะต้องร่วมทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิด เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาถกเถียงหรือผลักความรับผิดชอบกันอีกต่อไป ดังนั้น ทั่วโลกต้องตระหนักถึงปัญหานี้ และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง โดยในส่วนของไทยและประเทศกำลังพัฒนา รู้สึกเป็นห่วงต่อการเปลี่ยนของสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างมาก โดยจะร่วมแก้ไขปัญหาในกระบวนการที่ไม่บั่นทอนการพัฒนาของประเทศ รวมทั้งต้องไม่ให้ข้อจำกัดกลายเป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุน และไม่นำไปสู่การกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ไทยได้จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ระหว่างปี 2012 - 2016 เพื่อผลักดันให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบคาร์บอนต่ำ รวมถึงจัดทำแผนพลังงานทดแทน 15 ปี และรณรงค์ปลูกป่าเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ในการดูดซับก๊าซเรือนกระจก รวมถึงรณรงค์การทำเกษตรกรรมแบบอินทรีย์ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และกระตุ้นให้ประชาชนใช้สินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่สำหรับกลุ่มประเทศอาเซียนนั้น ประเทศสมาชิกต่างมีมาตรการรับมือในเรื่องนี้อย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาซียนเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วควรมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เพราะต้องรับผิดชอบกับการกระทำในอดีต และมีศักยภาพและเศรษฐกิจที่เข้มแข็งเพียงพอในแง่เทคโนโลยี ทั้งนี้ ประเทศที่พัฒนาแล้วจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งในแง่เงินสนับสนุนและเทคโนโลยี ดังนั้น อาเซียนสนับสนุนข้อเสนอของกลุ่มประเทศ จี 77 ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และกลุ่มประเทศพัฒนาน้อยที่สุด ที่ให้ประเทศที่พัฒนาแล้วจัดสรรงบประมาณร้อยละ 0.5 - 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ พร้อมกับความช่วยเหลือจากต่างประเทศเพื่อการพัฒนา โดยกลไกเหล่านี้ต้องมีความพร้อมตลอดเวลาและสามารถเรียกใช้ได้อย่างง่ายดายจากประเทศที่กำลังพัฒนา
สำหรับภารกิจของนายกรัฐมนตรี ในวันนี้(18 ธ.ค.) ในเวลา 10.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรี จะเข้าร่วมประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 15 อีกครั้ง เพื่อหาข้อสรุปของการแก้ไขปัญหา และจะใช้โอกาสนี้หารืออย่างไม่เป็นทางการกับผู้นำของประเทศต่างๆ