เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 10 ธันวาคม ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก
พร้อมด้วยอดีตทหารพรานจากค่ายปักธงชัย จ.นครราชสีมา ร่วมแถลงข่าวประกาศเข้าร่วมการชุมนุมกับคนเสื้อแดง ว่า ทหารพรานที่มาดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุมครั้งนี้มีประมาณ 200 คน ซึ่งทหารพรานเหล่านี้ปลดประจำการเป็นพลเรือนแล้ว แต่นำชุดทหารพรานมาแต่งและที่มีแม่ทัพนายกองบอกว่า ถ้าวันนี้ทหารพรานออกมาจะขอลาออก วันนี้ท่านต้องลาออกจากผู้บัญชาการทหารบก เพราะทหารพรานมาตามสัญญา ซึ่งการออกมาครั้งนี้จะไม่มีการปะทะหรือรบกับใครเพราะเขาออกมาเพื่อป้องกันม็อบน้ำเงินมาสร้างความวุ่นวาย และที่ตนออกมา เพราะ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นห่วงว่าทหารพรานจะมายิงกับทหารหลักจึงสั่งตนว่าดูให้ดี
"ขอเรียนถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก โดยตรงในฐานะเพื่อนว่า ท่านแปลเจตนาของผมผิด เพราะท่านหูเบาไปฟังสื่อหนึ่งที่คอยเสี้ยม กลายเป็นว่าผมไปปลุกปั่นทหารพรานออกมา เพื่อรบกับทหารหลัก ความจริง ผบ.ทบ.ต้องหนักแน่น เพราะท่านเป็นผู้บังคับบัญชาของผม และผมไม่เคยอคติ ท่านจำได้หรือไม่ว่า เราเป็นเพื่อนวิ่งเล่นด้วยกันมา พล.อ.อนุพงษ ติดยศพลตรีหลังผม 5 ปี และผมอาวุโสสุดในกองทัพไทย ดังนั้น ต้องให้ผมเป็นพลโทด้วย ไม่ใช่จะมาพักราชการผม เพราะ ผมไม่มีความผิดทางวินัย หากจะพักราชการแสดงว่าท่านเป็นนักเลง" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว
พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ผบ.ทบ.ที่ผ่านมา 4 คนไม่เคยพักราชการตน ถ้า ผบ.ทบ.คนนี้จะมาพักราชการตน แสดงว่าท่านกลั่นแกล้งผู้ใต้บังคับบัญชา และแสดงว่าท่านไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา ส่วน พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ก็หูเบา ฟังไม่รู้เรื่องกลับมาด่าตนว่าเป็นทหารสารเลว อยากถามว่าตนทำอะไรให้ ความจริงตนติดนายพลก่อนท่าน ดังนั้น ที่มาด่าตนจะต้องขอโทษตนด้วย ส่วนเงินบริจาค 5 ล้านบาท ที่ ผบ.ทบ.มอบให้
ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กลาวถึงความคืบหน้าการตั้งกรรมการสอบโทษทางวินัยต่อ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก
กองทัพบกได้ตั้งคณะกรรมการสอบเอาผิดวินัยแก่ พล.ต.ขัตติยะ โดยมี พล.ท.มาโนช เปรมวงศ์ศิริ รองเสนาธิการทหารบก เป็นประธานกรรมการสอบ ซึ่งการสอบวินัยครั้งนี้มีกรอบความผิดใหญ่อยู่ 2 เรื่อง คือ 1.การลาราชการไปต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต จากกรณีที่ พล.ต.ขัตติยะ เดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แลบะสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ 2.การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์กองทัพและผู้บังคับบัญชา ซึ่งคณะกรรมการของกองทัพบกได้สรุปผลการสอบเสร็จสิ้นแล้ว และได้ส่งให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาแล้ว ซึ่งอำนาจการตัดสินใจสั่งลงโทษ พล.ต.ขัตติยะ ตามที่คณะกรรมการของกองทัพบกสรุปผลการกระทำผิด เป็นอำนาจของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้พิจารณาตัดสินตามระเบียบกระทรวงกลาโหม
เมื่อถามว่า ผลการสอบจะสามารถเอาผิดวินัยต่อ พล.ต.ขัตติยะ ที่เป็นทหารชั้นยศนายพลได้หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า คงต้องรอให้มีคำสั่งอย่างเป็นทางการก่อน
ขณะนี้ยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ เพราะเป็นอำนาจตัดสินใจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่าจะเห็นชอบตามที่คณะกรรมการกองทัพบกสรุปผลหรือไม่ ทั้งนี้ ขอเรียนว่าจากที่มีการวิจารณ์ว่าทหารชั้นนายพลทำอะไรก็ไม่ผิดนั้น ความจริงโทษตามวินัยทหาร 5 สถาน คือ ภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม กัก ขัง และจำคุก นั้น มีไว้เพื่อลงโทษนายทหารที่ไม่ใช่ระดับนายพล ซึ่งเรามีไว้ห้ามปรามกรณีที่ทหารส่วนนั้น อาจหลงผิดคิดผิดในการทำความผิดไป ซึ่งเป็นโทษทางวินัย
"แต่ในส่วนทหารระดับชั้นนายพลนั้นไม่มีโทษทางวินัย เพราะถือเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพสามารถมีวิจารณญาณคิดเองได้ ดังนั้น เมื่อกระทำความผิดเราจึงใช้การว่ากล่าวตักเตือนก่อน แต่หากทหารชั้นนายพลยังมีกระทำความผิดอีก ก็จะะถูกดำเนินคดีโทษทางอาญาของศาลทหารเลย ซึ่งเป็นกระบวนการพิจารณาในชั้นศาลทหาร เพื่อพิจารณาโทษตามความผิด ทั้งนี้ พล.ต.ขัตติยะ เคยถูกกองทัพบกตั้งคณะกรรมการสอบมาก่อนหน้านี้ แล้วมีการให้รับทราบไว้แล้วว่า พล.ต.ขัตติยะ จะไม่ให้สัมภาษณ์พาดพิงกองทัพอีก ซึ่งเป็นการว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งคณะกรรมการสอบครั้งนี้ก็ได้มีการนำเรื่องนี้มาไว้ในการพิจารณาโทษความผิดด้วย ซึ่งทั้งหมดกองทัพบกได้ส่งเรื่องนี้ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาแล้ว ทั้งนี้ พลต.ขัตติยะ มีคดีฟ้องร้องหลายคดีทั้งในศาลทหารและศาลพลเรือน และมีหลายคดีที่กองทัพบกเป็นโจทก์ฟ้องเอาผิดอยู่" โฆษกกองทัพบก กล่าว