วิเคราะห์การเมือง ล็อกเป้าแล้วรอดยาก

เป็นไปตามสัจธรรมของผู้แพ้ที่ไม่มีเวทีให้แก้ต่างแก้ตัว


ในขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลบเลียแผลใจลี้ภัยเฉพาะหน้าอยู่ที่มหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ กับ น้องเอม น.ส.พิณทองทา ลูกสาวคนรอง โดยที่คุณหญิงพจมาน ศรีภริยา เพิ่งเดินทางไปสมทบ ส่วนนายพานทองแท้ ลูกชายคนโต และ อุ๊งอิ๊ง น.ส. แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็ก ไม่ชัดเจนว่า พำพักอยู่แห่งหนตำบลใด


ครอบครัวแยกกันกระจัดกระจาย


ท่ามกลางความสับสนในชะตากรรมของคนในบ้านจันทร์ส่องหล้า ทักษิณ กับลูกเมียต้องระหกระเหินกันคนละทิศคนละทาง ก็เลยเป็นช่องให้แหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนาม ปล่อยข้อมูลเด็ดๆออกมากระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านร้านตลาด


จริงมั่ง ยกเมฆมั่ง เคล้ากันไป


ล่าสุด สำนักข่าวเอพีรายงานอ้างว่า เจ้าหน้าที่สายการบินไทยคนหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ ได้เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ขนกระเป๋าสัมภาระ และหีบขนาดใหญ่จำนวน 58 ใบ ขึ้นเครื่องบินไทยคู่ฟ้าของทางการบินไทย เพื่อเดินทางไปยังประเทศฟินแลนด์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา

โดยเครื่องบินไทยคู่ฟ้าได้ลงจอดที่ประเทศฟินแลนด์เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ ขณะที่ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้เครื่องบินอีกลำหนึ่งเพื่อใช้ในการเดินทางระหว่างเยือนประเทศอื่นๆ ท่ามกลางการคาดเดา

พ.ต.ท.ทักษิณอาจขนเงินออกนอกประเทศ ก่อนโดนรัฐประหาร


เพราะไม่ชัดเจนว่า เหตุใดอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องบินลำที่ 2 ในเมื่อมีเครื่องบินไทยคู่ฟ้าที่จะใช้บินไปปฏิบัติภารกิจยังประเทศต่างๆอยู่แล้ว


สำนักข่าวต่างชาติคาดการณ์เชิงตั้งคำถาม


พ.ต.ท.ทักษิณรู้ตัวก่อนแล้วว่าจะถูกยึดอำนาจใช่หรือไม่ จึงทำการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินออกนอกประเทศ

สอดคล้องกับข่าวในลักษณะเดียวกันที่ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้าจะเกิดเหตุรัฐประหารประมาณ 1-2 สัปดาห์ว่า มีนักการเมืองใหญ่ได้เหมาตู้คอนเทนเนอร์ของบริษัทขนส่งทางทะเล เพื่อขนสัมภาระไปประเทศอังกฤษ

จริงเท็จแค่ไหนไม่มีการยืนยัน


ที่แน่ๆยังเป็นข้อมูลในลักษณะกล่าวหา โดย พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่มีเวทีให้แก้ต่างแก้ตัว

แต่ในสถานการณ์มั่วๆ ยามหมดอำนาจวาสนา ถูกไล่พ้นจากหอคอยงาช้างหมาดๆ ก็ต้องทำใจรับก้อนอิฐในสภาพผู้แพ้ไปโดยปริยาย

อะไรร้ายๆรอรับได้เลย

แต่ที่ต้องยกให้กับความเป็นมวย ได้กุนซือดี ล่าสุด คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไต ยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 23 แต่งตั้งให้นายสวัสดิ์ โชติพานิช อดีตประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการ

มีอำนาจในการตรวจสอบการดำเนินงานและโครงการต่างๆ ที่ได้รับอนุมัติหรือเห็นชอบโดยบุคคลในคณะรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา

เป็นไปโดยสุจริตหรือไม่


ในกรณีที่เห็นว่าการดำเนินงานหรือโครงการใดมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า มีการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือร่ำรวยผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ ให้คณะกรรมการตรวจสอบมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องของผู้นั้น คู่สมรส และบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะของผู้นั้นไว้ก่อนได้

ใช้อดีตผู้พิพากษาเป็นหัวแถวสอบสวน ตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง


ประกอบกับก่อนหน้านี้ก็มีการคงตำแหน่งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)


ไว้ให้คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ตามด้วยการประกาศตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ดึงกลไกตรวจสอบทุจริตคอรัปชันตามรัฐธรรมนูญให้เดินเครื่องต่อไป

เปรียบเทียบกับยุคคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่ไล่บี้ยึดทรัพย์จากคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ในรูปของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ที่มี พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ เป็นประธาน

สุดท้ายต้องปล่อยผีเกือบหมด เพราะกระบวนการตรวจสอบมีน้ำหนักไม่พอในชั้นศาล

แต่กับคิวนี้ใช้คนระดับอดีตประธานศาลฎีกา


เป็นหัวขบวนชงข้อมูลยึดทรัพย์ตั้งแต่ต้น ถ้าล็อกเป้าแล้วส่งต่อศาล โอกาสรอดยาก.


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์