"จักรภพ"โฟนอินปัดสัมภาษณ์สื่อนอกขนอาวุทธยุทโธปกรณ์บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อัดสื่อไทยเล่นข่าวถือว่าเจตนาป้ายสี ยันไม่เคยคิดใช้ความรุนแรง ขอคนสนับสนุนปชต.ฟังหูไว้หูอย่าใช้วิชามารป้ายสี-ลุ่มหลงลัทธิพรรคพวก ขอเวลาอธิบายชาวโลกถึงสถานการณ์การเมืองก่อนกลับมากราบปชช. "เมื่อมีประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงนี้ สื่อไทยบางส่วนก็คว้าเอาไปเล่นข่าวกันเสมือนเป็นเรื่องจริง โดยไม่เคยตรวจสอบกับผมเลย ทำให้เกิดคำถามว่าคนเหล่านี้มีแผนอะไรกัน ผมขอตั้งประเด็นไว้ว่าเป็นเจตนาป้ายสีผมโดยหวังให้เกิดผลบางอย่างในทางการเมือง และขอย้ำว่าการเตรียมการใดๆที่ใช้ความรุนแรงไม่ว่าจะสถานที่ใดไม่ใช่แนวทางของผมและผู้สนับสนุนตัวผมเด็ดขาด การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในไทยจะต้องเกิดจากพลังขับดันภายในประเทศ และเกิดโดยสงบสันติ เมื่อปวงชนชาวไทยมีความพร้อมแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้ฝ่ายที่สนับสนุนประชาธิปไตย โปรดฟังหูไว้หู ก่อนจะเชื่อข่าวดังกล่าว และอย่ากระทำการใดๆที่เป็นการเหยียบย่ำคนในฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันเพื่อให้ทางศัตรู วิพากษ์วิจารณ์ได้เสมอ และอย่าใช้วิชามารป้ายสีตีตราทำร้ายผู้สนับสนุนอีกกลุ่มหนึ่งเพราะลุ่มหลงในลัทธิพรรคพวกอย่างเกินเลย เป็นต้น พึงละเว้นเสีย" นายจักรภพ กล่าว
ที่ร้าน Red shop ชั้น 5 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 19 พ.ย.
นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำขบวนการประชาธิปไตยและแกนนำกลุ่มแดงสยาม อดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้นัดหมายสื่อมวลชนเพื่อแถลงข่าวผ่านการโฟนอินชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวที่นายจักรภพให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศเกี่ยวกับการปฏิบัติทางทหารและมีการขนอาวุทธยุทโธปกรณ์บริเวณแนวชายแดนไทยกับกัมพูชา ว่า ขอยืนยันว่า ตนไม่ได้เคยให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวดังกล่าว เพราะนายชอว์น คริสพิน (Shawn Crispin) ของเอเชีย ไทม์ส ออนไลน์ ได้นัดสัมภาษณ์ตนเมื่อวันที่ 11เมษายนที่ผ่านมา ผ่านผู้ประสานงานสื่อต่างประเทศของตนและยังได้ถ่ายภาพที่สัมภาษณ์ตนครั้งนี้เป็นหลักฐานด้วย อีกทั้งได้สนทนาเพียงกว้างๆในประเด็นอนาคตของการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยและวิสัยทัศน์ของตนต่อการเมืองไทยในอนาคต ทั้งนี้ยืนยันว่าตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์และไม่ปรากฎว่ามีประเด็นเกี่ยวกับการสะสมอาวุธ ซึ่งตนได้คุยกับนายชอว์นครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีการติดต่ออีกจนบัดนี้
จักรภพลั่นกลับบ้านเกิดกราบคนไทยแน่ ขอเดินสายจ้อชาวโลกก่อน
นอกจากนี้ นายจักรภพ กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดงในวันที่ 28 พฤศจิกายน ว่า การชุมนุมลักษณะใดก็ถือเป็นประโยชน์ต่ออนาคตทั้งสิ้น
การรวมมวลชนไม่ว่าจะสถานการณ์ใดๆถือเป็นการประคองประชาธิปไตยไปสู่ระยะยาว และยังเป็นการให้ความรู้ประชาธิปไตยเพื่อจัดตั้งฝ่ายประชาธิปไตยให้มีประสิทธิเหมือนฝ่ายตรงข้ามถึงจะพูดเรื่องชัยชนะได้ ส่วนกลุ่มเสื้อแดงจะล้มรัฐบาลได้หรือไม่นั้น ตนมองว่าไม่ว่าฝ่ายใดก็ถือเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันเพียงแต่มีหลายแนวทางในการต่อสู้ ซึ่งการล้มรัฐบาลนั้นต้องมองลึกด้วยว่าเมื่อโค่นล้มได้แล้วเราจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับมาหรือไม่
นายจักรภพ กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณเป็นระยะบ้างทางโทรศัพท์ และพ.ต.ท.ทักษิณได้ฟังความเห็นหลายคนในการกำหนดเกมเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงซึ่งไม่ใช่แค่ปรึกษาตนเท่านั้นแต่ฟังเสียงประชาชนด้วยเพราะเป็นที่ปรึกษาที่ใหญ่ที่สุด ส่วนการชุมนุมเสื้อแดงจะจบเกมได้หรือไม่ตนไม่ขอวิจารณ์แต่ขอให้ทำงานด้านมวลชนเต็มที่ เพราะเวลานี้เป็นการสู้กันระหว่างอำมาตย์กับประชาธิปไตยยากที่จะชี้ชัดได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร หากจะมีการส่งไม้ต่อให้พวกเราเมื่อไรตนก็พร้อมรับเต็มที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าจะรับไม้ต่อจากนปช.ใช่หรือไม่หากการชุมนุมไม่ประสบผล นายจักรภพ กล่าวว่า ตนไม่กล้าพูดเช่นนั้น
แต่บอกแค่ว่าการพัฒนาประชาธิปไตยตอนนี้ระดมมวลชนกัน ซึ่งการต่อสู้ระยะต่อไปต้องรวมถึงการจัดตั้งให้เป็นระบบยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ขอบอกในตอนนี้ได้ และยืนยันไม่ใช่เรื่องการใช้อาวุธหรือความรุนแรงแน่ เพียงแต่ต้องเตรียมที่จะไปแทนที่กลไกอำมาตย์ที่เข้มแข็งกว่าประชาธิปไตยให้ได้
เมื่อถามว่า แดงสยามกับกลุ่มนปช.มีความสัมพันธ์ทิศทางเดียวกันหรือไม่นายจักรภพ กล่าวว่า ยังเดินสู่ประชาธิปไตยเดียวกัน ก็คือปวงชนชาวไทยมีอำนาจสูงสุด
ส่วนเรื่องยุทธวิธีจะเดินไปอย่างไร เราเชื่อว่าจะรวมความคิดออกมาให้ดีที่สุด เพราะเจตนารมณ์ฝ่ายประชาธิปไตยเหมือนกันหมดไม่มีความแตกต่างกัน ไม่มีความแตกร้าวด้านความคิดใดๆ มีแต่ความหลากหลายในยุทธวิธีเท่านั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลก และเชื่อว่าเวลาจะสมานเรากลับมาด้วยกัน แต่ทั้งนี้ขอร้องว่าหากเป็นฝ่ายเสื้อแดงหรือประชาธิปไตยด้วยกันอย่าทำร้ายกัน
เมื่อถามถึงคดีความของนายจักรภพที่อัยการได้เลื่อนฟ้องมาหลายครั้งแล้วจะกลับมาสู้คดีหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ได้ติดตามอยู่ แต่ตนไม่แน่ใจว่าขณะนี้เกิดอะไรขึ้นเพราะคดีเลื่อนแล้วเลื่อนอีก
และอยากจะให้คดีจบเรื่องเร็วที่สุดไม่ว่าผลออกมาด้านใดตนจะได้ทราบและพร้อมรับทุกอย่างอยู่แล้ว ส่วนจะกลับมาต่อสู้คดีได้เมื่อไรนั้น แต่ตอนนี้ตนขอใช้เวลาในการอธิบายให้ชาวโลกได้รู้ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทยเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะเดินทางกลับที่จะไปแสดงจุดยืนเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากคดี แต่ทั้งนี้ ช่วงนี้ตนจะเดินทางไปประเทศทั่วโลกมาแล้ว 10 ประเทศยังพบรัฐบาลและสื่อมวลชน กลุ่มนักธุรกิจ รวมทั้งจะไปบอกองค์การระหว่างประเทศเพื่ออธิบายความผิดของฝ่ายอำมาตย์ โดยเฉพาะเรื่องการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ หากหมดเรื่องพวกนี้ตนจะกลับไทยเพื่อไปกราบประชาชนแน่