ทักษิณวางตัวเหนือกฎหมาย เลิกใช้หลักฐานสู้คดี แต่ใช้วิธีพลีชาติเพื่อชีพ

"ทักษิณ"วางตัวเหนือกฎหมาย เลิกใช้หลักฐานสู้คดี แต่ใช้วิธีพลีชาติเพื่อชีพ

โดย ไทยทน




ไทยทนได้ติดตามคดี “ยึดทรัพย์ทักษิณ ชินวัตร มาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะคนไทย “หัวใจไทย” รู้สึกลำบากใจ ที่เห็นอดีตผู้นำไทย วางตัวเหนือกฎหมาย อยู่ภายใต้กฎนรก  ไม่ใช้ความจริงสู้คดี สร้างความแตกแยก ยุยงคนไทยให้ทำร้ายประเทศ สร้างภาพเท็จให้ประเทศเสื่อมเสีย และล่าสุดไปคบค้ากับประเทศเพื่อบ้านที่กำลังต้องเจรจาเพื่อรักษาประเทศ ฯลฯ


 


ยิ่งคดี “ยึดทรัพย์” ที่ทุจริตมาของตัว ก็ยิ่งดิ้นรนจนแทบจะเข้าข่าย “พลีชาติเพื่อชีพ” ใครจะรู้ จะคบค้ากันถึงขั้นรุกทำร้ายประเทศหรือไม่ ?


 


จะสร้างความแตกแยกในแผ่นดินให้อ่อนแอต่อไปหรือไม่ ?


 


ไทยทนจึงเชื่อว่า การสางคดีให้ชัดเจน เป็นที่ประจักษ์ ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด และการที่สื่อมวลชน จะร่วมกันนำ “ความจริง” ให้ประชาชนได้รับรู้อย่างทั่วถึง และเท่าเทียมกัน ก็จะช่วยให้เกิดความสงบและความเที่ยงธรรมในแผ่นดิน



ไทยทนได้ติดตามคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ( คตส. )ที่ได้ทุ่มเทเพื่อเปิดโปงความจริงในเรื่องนี้แล้ว รู้สึกเป็นคุณค่าอย่างยิ่งที่คนไทยและสื่อมวลชนไทยได้ติดตามให้เห็นเนื้อหาและความจริงอย่างชัดเจนและเที่ยงธรรม



เรื่องคดี “โกงชาติ” นี้เป็นเรื่องพิสูจน์จิตใจ และจะช่วยให้คนไทยทั้งแผ่นดินได้เห็นว่า จะไว้วางใจ นช.ทักษิณ ต่อไป ยังอยากมีความหวังโหยหาให้กลับมา “ยึดชาติ” อีกต่อไปหรือไม่ ? ด้วยมันนำไปสู่ความเป็นเจ้าของกองทุนลับ วินมาร์ค ซึ่งอาจจะตั้งแต่ปี 2537 ช่วงที่ นช. ทักษิณ เป็น รมว. ต่างประเทศ เข้าไปรู้กลไกของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ได้ประโยชน์จากการลอยตัวค่าเงินบาทปี 2540 และนำกำไรมากฟอกด้วยการซื้อหุ้นจากครอบครัวชินวัตรแบบเหมาเข่ง 6 บริษัทๆ 10 บาทในปี 2543 หรือไม่ ?



สอดคล้องกับที่นายเสนาะ เทียนทอง ได้เคยพูดบนเวที่พันธมิตรช่วงต้นปี 2549 ว่า “จากคำพูดผมคิดว่าคนๆ นี้รวยแล้วกลับใจ แต่จริงๆ แล้ว ... กล้าทำแม้เผาบ้านเผาเมืองเพื่อเอาประกัน มีการไตร่ตรองและวางแผนไว้ก่อนทุกขั้นทุกตอนไอ้หมอนี่คิดเป็นจ๊อบๆ ... วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กับประธานรัฐสภาที่เพิ่งหมดวาระไปไปหาหัวหน้าจิ๋ว คุยกุ๊กกิ๊กอะไรตนไม่รู้ แล้วในที่สุดให้ นายทนง พิทยะ มาเป็น รมว.คลัง เข้ามาไม่กี่วันก็ลอยตัวค่าเงินบาท จาก 26 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท พี่น้องคนไทยเจ๊งเป็นเอ็นพีแอลทั้งประเทศ พอเสร็จภารกิจก็ลาออกเลย มาจัดตั้งรัฐบาลใหม่” ธนาคารแห่งประเทศไทยเสียหายหลายแสนล้านบาท โกยเงินเข้ากระเป๋าซ่อนในต่างประเทศมากมาย



เราเริ่มเห็นตัวตนมากขึ้นเมื่อขายกิจการผูกขาดด้านโทรคมนาคมให้ต่างชาติ และเตรียมยกส่วนของแผ่นดินไทยให้เขมร รวมถึงปัญหาทรัพยากรทางทะเลในพื้นที่ทับซ้อน แล้วไปอาศัยที่อยู่ในเขมร และไปเป็นที่ปรึกษาเขมร คนไทย “หัวใจไทย” จะไว้ใจต่อไปอีกได้อย่างไร ?



กลับมาติดตามดูคดี “ยึดทรัพย์” ด้วยใจที่เป็นธรรม จากการไต่สวน อ. แก้วสรร อติโพธิ จาก คตส. ดูจะได้แสดงหลักฐาน ต่อศาลได้อย่างชัดเจน ที่คุณหญิงพจมาน และพวกให้การตรงกันว่า ในวันที่ 31 สิงหาคม 2543 นายพานทองแท้  ชินวัตร ต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินให้คุณหญิงพจมานจำนวน 4,500 ล้านบาท ซึ่งคตส. ได้เคยถามว่า เป็นหนี้ค่าอะไร หลังจากนั้นก็ไม่ได้ตอบต่อคตส. อีกเลย ด้วยหนี้ 4,500 ล้านบาท เป็นหนี้ส่วนหลักมูลค่าประมาณ 90% ของหนี้ทั้งสิ้น 5,056,348,840 บาทนั้น เป็นกุญแจหลักที่ทำให้ นายพานทองแท้ ผ่องถ่ายเงินได้จากค่าปันผล และค่าขายหุ้นกลับให้แม่ตลอด 5-6 ปีที่ถือหุ้นแทนตลอดมา


 


โดยผู้ถูกกล่าวให้ได้ให้การเท็จว่า ทั้งจำนวนกว่า 5 พันล้านบาทนั้น ขายหุ้นราคาทุน ด้วยการเปิดเผยแล้วว่า หนี้ 4,500 ล้านบาทนั้น เป็นค่าหุ้นธนาคารทหารไทย  150 ล้านหุ้น และใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ ธนาคารทหารไทย(TMB-C1) 300 ล้านหน่วย



 ดูเหมือนหุ้นและหน่วยละ 10 บาท ก็ได้มูลค่า 4,500 ล้านบาทดังที่อ้าง แต่ความจริงใบสำคัญแสดงสิทธิ์ TMB-C1 เป็น “ของแถมฟรี”  แม่ไม่ได้ซื้อเลย มี “ราคาทุน” เป็น 0 แต่ให้การต่อศาลว่า ใช้ “ราคาทุน” 10 บาท ทำให้ 300 ล้านหน่วย มีต้นทุนรวม 0 (ศูนย์) แต่ขายลูก 4,500 ล้านบาท !! จะให้เชื่อว่า “แม่โกงลูก” หรืออย่างไร ? ด้วยความเคารพ ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะร้ายขนาดนั้น



 แต่เป็นหลักฐานชัดเจนว่า นาย พานทองแท้ ไม่ได้ซื้อหุ้นไปจริง เยี่ยงผู้บรรลุนิติภาวะที่มีอิสระในการตัดสินใจอย่างแท้จริงมากกว่า ด้วยนาย พานทองแท้ รู้หรือไม่ว่า ตนซื้อหุ้นธนาคารทหารไทย  และ TMB-C1 ได้ในราคา 5.70 บาท และ 1.30 บาท(ตามราคาตลาด) ตามลำดับ ไม่ใช่ 10 บาท และ 10 บาทอย่างที่ต้องซื้อจากแม่


 


เมื่อสรุปได้ว่าเป็นหนี้มั่ว การคืนเงินจึงเป็นการคืนมั่วโดยเป็นการคืนปันผลหุ้นชินคอร์ปฯในฐานะผู้ให้ใช้ชื่อถือหุ้นแทนเท่านั้นเอง



ในครั้งนี้ ไทยทนขอขยายความจากข้อมูลที่เห็นกรณีวินมาร์ค และแอมเพิลริช เพิ่มเติม ดังนี้


 


1พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ได้ทำหนังสือ ในเดือนตุลาคม 2549 ชี้แจงข้อมูลการขายหุ้นของตนและภรรยา ในราคาเท่ามูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว ได้แก่ บริษัท พี.ที. คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท เอสซีออฟฟิซ ปาร์ค จำกัด บริษัท เวิร์ธ ซัพพลายซ์ จำกัด บริษัท โอเอไอ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)) บริษัท เอส ซี เค เอสเทต จำกัด บริษัท บี.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ให้แก่บริษัทวินมาร์ค สิ่งซึ่งแปลกมากสำหรับการจะกล่าวว่า เป็นนักลงทุนทั่วไป เพราะเป็นการขายที่ราคาพาร์ทุกบริษัท เหมือนกรณีขายให้ลูกและคนในครอบครัวไม่มีผิด



ตัวอย่างที่เห็นว่าเป็นการขายจริงก็เช่นกรณีขายหุ้นชินคอร์ปฯให้เทมาเส็ก ที่ราคาหุ้นละ 49.25 บาท 49 บาทถ้วนๆยังไม่ได้ต้องมีเศษ 25 สตางค์ด้วย แต่นี่ขายเหมาเข่งที่ราคาหุ้นละ 10 บาท ทั้งๆที่มูลค่าทางบัญชีไม่เท่ากัน กำไร/ขาดทุนไม่เท่ากันเลย



2  สิ่งที่ทำให้ไม่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้คือ วินมาร์ค จ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่คุณหญิง ก่อนรับหุ้นเป็นจำนวนมากในวันที่  1 สิงหาคม 2543  โดยก้อนแรกๆนั้น คือรายการโอนเงิน วันที่ 11 และ 12 พฤษภาคม 2543 รวมประมาณ 550 ล้านบาท นั้น สอดคล้องกับการจ่ายค่าจองซื้อหุ้นสามัญ บมจ. ธนาคารทหารไทยของคุณหญิงพจมาน ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2543 ทำให้เชื่อได้ว่า  คุณหญิงพจมานนำเงินของวินมาร์ค ซึ่งเป็นของตัว มาจองซื้อหุ้น ธนาคารทหารไทย และใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ ตามความประสงค์ของตนมากกว่า โดยจ่ายเงินกว่า 500 ล้านบาท โดยไม่ได้หุ้นอะไรเลย จนอีกประมาณ 3 เดือนจะได้หุ้นนั้น ไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นความจริงได้ ทั้งนี้ หุ้นก็เป็นหลักทรัพย์ที่แบ่งแยก ทยอยส่งมอบตามจำนวนที่ตกลงกันก็ย่อมได้ แต่การไม่มีสัญญาและจ่ายเงินก่อนการได้หุ้นประมาณ 3 เดือนนั้น แสดงว่าเป็นโนมินีของตนนั่นเอง


 


3 .สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์( ก.ล.ต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอ สมัยนายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงในวันที่ 19 มิถุนายน 2550 ได้กล่าวโทษแล้วว่า พบคุณหญิง พจมานหลักฐานที่ทำให้น่าเชื่อว่า Win Mark  VIF (หรือ VAF) OGF และ ODF เป็นนิติบุคคลที่อำพรางการถือหุ้น (Nominee) ของพ.ต.ท. ทักษิณฯ และภรรยา (การที่อัยการไม่ได้สั่งฟ้อง ก็มิใช่การตอบโต้ว่าข้อมูลดังกล่าวไม่จริง แต่สำนวนกลับแสดงในลักษณะว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้แสดงข้อมูลตามแบบแสดงรายการใหม่ หากมีหลักฐานว่า วินมาร์คไม่ใช่ของ พ.ต.ท. ทักษิณ และคุณหญิง พจมาน แสดงออกมาก็ทำให้เห็นชัดง่ายกว่ามากนัก แต่กลับไม่ได้แสดงเช่นนั้น)


กรณี วินมาร์ค เชื่อมโยง แอมเพิลริช


 


การเปรียบเทียบการพิจารณาคดี และการต่อสู้ในคดี เหมือน “รูปถ่ายการปล้นโดยยามนอกเวลา”


 


การพิจารณาคดี และการต่อสู้ในคดี กรณี กองทุนแอมเพิลริช และ กองทุนวินมาร์ค เหมือน “รูปถ่ายการปล้นโดยยามนอกเวลา” ดังนี้


 


1.  มีภาพถ่ายว่ามีโจรปล้นทรัพย์


 


2.  ข้อต่อสู้ขั้นแรกคือ ภาพนี้ผิด เพราะเห็นผู้จัดการร้านไม่ได้ใส่แว่นเป็นปกติ


 


3.  ข้อต่อสู้ขั้นที่สองคือ “ยามอยู่นอกเวลา ไม่มีหน้าที่ต้องถ่ายรูปนี้”ซึ่ง คตส. เห็นว่า ข้อต่อสู้ดังกล่าว ก็ไม่สามารถลบล้างหลักฐานความผิดนี้ได้อยู่ดี โดยขอวินิจฉัยแต่ละประเด็น ดังนี้



1.   ภาพถ่ายว่ามีโจรปล้นทรัพย์ วันที่ 24 สิงหาคม 2544 UBS AG Singapore ได้ทำรายงาน 246-2 ต่อ กลต. เปิดเผยว่าได้รับหุ้นชินฯมา 10 ล้านหุ้น รวมกับหุ้นเดิมที่มีอยู่แล้ว 5,405,913 หุ้น เป็น 15,405,913 หุ้น คิดเป็น 5.24% ทำให้ต้องรายงานต่อ กลต.



1.1)  ตามหลักฐานจาก ก.ล.ต. หุ้น 10 ล้านหุ้นเป็นของแอมเพิลริช



1.2)    อีกประมาณ 5.4 ล้านหุ้นนั้น มีหลักฐานว่าเป็นของวินมาร์ค ดังแสดงในทะเบียนหุ้น UBS AG Singapore – Pledge A/C 121751 ตรงกับข้อมูลโครงสร้างผู้ถือหุ้นซึ่งดูได้จากตลาดหลักทรัพย์ฯ


 


1.3)    ตามแบบรายงาน 246-2 ตามกฎหมาย แสดงว่าแอมเพิลริชและวินมาร์ค เป็นของกลุ่มบุคคลเดียวกันตามกฎหมายหลักทรัพย์ คือเป็นของ พ.ต.ท. ทักษิณ และคุณหญิง พจมาน ชินวัตร ซึ่ง UBS เป็นธนาคารที่ทำธุรกิจนี้ในประเทศไทยมายาวนาน ไม่น่าเชื่อว่า ในการทำรายงานนั้น จะไม่นับรวมหุ้นเป็นไปตามกฎหมาย คือนับของบุคคลที่ไม่เป็นบุคคลเดียวกัน ตามมาตรา 246 และ มาตรา 258 และมีหลักฐานเพิ่มเติมที่ทำให้เชื่อว่าการนับจำนวนรวมกันเป็นบุคคลเดียวกันตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ มาตรา 258 แล้ว ดังนี้


 


2.   ข้อต่อสู้ขั้นที่ 1 : รายงานมีความผิดพลาด (ในจุดเล็กๆ) ตามที่มีหนังสือโต้ตอบ ระหว่างสำนักงาน ก.ล.ต. และ ธ. ยูบีเอส ได้นำไปสู่ข้อต่อสู้ขั้นที่ 1 ว่า รายงาน 246-2 นี้มีความผิดพลาดหรือไม่ ?



ปรากฏว่า ธ. ยูบีเอสได้มีหนังสือลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อชี้แจงสำนักงาน ก.ล.ต. ต่อข้อสงสัยบนรายงาน 246-2 ดังกล่าวว่า ไม่ใช่เป็นการซื้อในตลาดหลักทรัพย์ที่ราคา 179 บาท แต่ไม่ได้แก้ไขว่า นับรวมหุ้น 10 ล้านหุ้น กับ 5.4 ล้านหุ้นมิได้เป็นของบุคคลเดียวกันตามมาตรา 246 และ 258 แต่อย่างใด และยังยืนยันด้วยว่า เกิดขึ้นจากการที่รวมหุ้นของบุคคลเดียวกันแล้ว ผ่านจุดที่ต้องรายงาน เป็นการอ้างถึงจุดผิดพลาดเล็กๆ เหมือนว่า ในภาพการปล้นทรัพย์นั้น ผู้จัดการไม่ได้ใส่แว่นเป็นปกติ


 


3.   ข้อต่อสู้ขั้นที่ 2 : อ้างว่า ธ. ยูบีเอส ไม่มีหน้าที่รายงานในฐานะคัสโตเดียน ตามที่ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา และฝ่ายกำกับดูแล เคยให้การในลักษณะว่า “ผู้รายงานไม่มีหน้าที่ต้องรายงาน” เปรียบได้ว่า ไม่มีข้อโต้แย้งว่า การนับรวมตามรายงาน 246-2 ซึ่งนับหุ้น 10 ล้านหุ้น กับ 5.4 ล้านหุ้นเป็นของบุคคลเดียวกันตามมาตรา 246 และ 258 นั้น แท้จริงแล้วเป็นของคนละบุคคลแต่อย่างใด แต่โต้แย้งราวกับว่า “ภาพถ่ายโจรปล้นทรัพย์” นั้นใช้ไม่ได้ เพราะคนยามที่ถ่ายนั้น ไม่ต้องเข้าเวรในกะงานดังกล่าว



แต่ คตส. ได้แสดงความเห็นว่า ภาพถ่ายนี้เป็นภาพถ่ายที่ยืนยันได้ว่ามีการปล้นจริง ไม่ว่า ยามจะถ่ายในหน้าที่หรือไม่ ก็เป็นหลักฐานที่เอาผิดผู้ปล้นได้อยู่ดี และทุกครั้งที่ถามว่า รายงานนี้เป็นไปตามพรบ.หลักทรัพย์ฯหรือไม่ ? การนับรวมเป็นบุคคลเดียวกันผิดกฎหมายมาตราที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ? ก็จะได้รับคำตอบคล้ายๆกันเพียงว่า “เขาไม่มีหน้าที่รายงาน” จึงไม่สามารถหักล้างหลักฐานนี้ได้เลย


 


ผลที่รายงาน 246-2 นี้น่าจะเชื่อได้ว่าเกิดจากการนับรวมเป็นของบุคคลเดียวกันถูกต้องตามมาตรา 246 และ มาตรา 258 แล้ว แสดงว่า



(ก) วินมาร์ค ต้องเป็นของคนเดียวกับเจ้าของแอมเพิลริช จึงต้องไม่ใช่ นายมามุส โมฮัมหมัด อัล อัลซาลี เศรษฐีตะวันออกกลางอย่างที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด เพราะแอมเพิลริช เป็นของ พ.ต.ท. ทักษิณ (ตามหลักฐานของ คตส.) หรือ นายพานทองแท้ (ตามที่ผู้คัดค้านอ้าง) คนใดคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ นายมามุส โมฮัมหมัด อัล อัลซาลี



(ข) แอมเพิลริชต้องเป็นของ พ.ต.ท. ทักษิณ เพราะวินมาร์ค ไม่ใช่ของนายพานทองแท้ หลังจากที่ได้แก้ไขข้อมูลที่ กลต. หลายครั้ง รวมถึงการแก้ไขข้อมูลย้อนหลัง 6 ปี พร้อมเสียค่าปรับหลายล้านบาทเมื่อต้นปี 2549 นาย พานทองแท้ ก็ยังไม่เคยนับรวมหุ้นชินคอร์ปฯที่ถือโดยวินมาร์ค แต่อย่างใด และนายพานทองแท้เองก็ไม่มีมูลเหตุจูงใจให้ต้องปกปิดการถือหุ้นแต่อย่างใด มีแต่ พ.ต.ท. ทักษิณที่ต้องปกปิดเพื่อหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ. ปปช. ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี



4  ไทยทนเข้าใจว่าสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ส่งหนังสือแสดงความเห็นแย้งต่อกรณีสั่งไม่ฟ้องคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น เอสซี แอสเสท โดยระบุว่า มีหลักฐานมากมายในคดี ที่ชี้ว่า พ.ต.ท. ทักษิณ และคุณหญิง พจมาน ชินวัตร คือเจ้าของที่แท้จริงผู้มีอำนาจสั่งการ ตลอดจนการรับประโยชน์จากหลักทรัพย์ที่ถือโดย WM, VAF, OGF และ ODF



ขณะนี้ ตัวตนของ นช. ทักษิณได้แสดงขึ้นชัดเจน ไม่สนใจความรู้สึกนักคิดของคนไทยกันอีกแล้ว ใช้ทั้งเรื่องการคดโกง กายุยงให้แตกแยก การใช้เข้าแทรกกระบวนการเจราจาประโยชน์โดยไปนั่งเป็นที่ปรึกษาฝ่ายคู่เจรจา


 


เราคนไทยหัวใจไทย จะยอมเห็นอดีตผู้นำเรา วางตัวเหนือกฎหมาย ยินดีสร้างความวุ่นวายทุกหนทาง ยอมทำทุกสิ่ง แม้ “สละชาติเพื่อชีพ” ก็ยังยอม เราคนไทย “หัวใจไทย” จะยินยอมเช่นนั้นหรือ ?



ขอให้สื่อมวลชน “หัวใจไทย” ร่วมกันทำความจริงให้ปรากฏด้วยครับ เพื่อความสงบและความชอบธรรมของแผ่นดิน

























  Ads by MATICHON


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์