...คำถามจึงต้องพุ่งเข้าใส่บรรดาคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งหลาย ว่าจะปล่อยให้สถานการณ์เผชิญหน้าระหว่าง 2 ขั้วสีคาราคาซังไปอย่างนี้หรือคุ้มกันแล้วจริงๆ หรือกับความพยายามในการยื้ออำนาจการเมืองและผลประโยชน์ทางการเมืองเอาไว้ในมือ... ดังที่กำลังพยายามทำอยู่ในขณะนี้สมควรแล้วหรือ หากประเทศใด
ไร้รักสามัคคี แน่นอนว่าจะเป็นความเจ็บปวดใจของคนในชาติอย่างที่ยากจะบรรยายดังนั้นการแตกต่างทางความคิด แล้วกลับกลายเป็นความแตกต่างของกลุ่มของสี จนทำให้ประเทศไทยกลายเป็นมี 2 ขั้วที่เผชิญหน้ากัน เป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่นอนเพราะไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง หรือคนเสื้อเหลือง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้นต้นถั่ว รากถั่ว ล้วนเกิดจากรากเหง้าเดียวกัน ไยเผาผลาญกันร้อนรนนัก???ไม่รู้ว่าบรรดาผู้มีอำนาจ และผู้ที่พยายามยึดกุมอำนาจและผล
ประโยชน์ทางการเมือง จนกระทั่งดิ้นรนทุกวิถีทาง และเป็นเหตุให้กลายเป็นเรื่องที่บานปลายอย่างน่าวิตกวันนี้จะได้รู้สึก หรือได้บทเรียนอะไรหรือไม่ จากสภาพของบ้านเมืองในเวลานี้ในอดีตประเทศไทยได้รับการขยายนามว่าเป็น “สยามเมืองยิ้ม” แต่มาในวันนี้รอยยิ้มจางหายไปจากสังคมไทย โดยเฉพาะระหว่างคน 2 กลุ่มสี ที่ยืนกันอยู่คนละฝั่งของความคิดและวันนี้รอยยิ้มของรัฐบาลไทย ของนายกรัฐมนตรีเมืองไทย ก็พลอยจางหายไปด้วย กับมิตรประเทศเพื่อนบ้าน
ก่อนหน้านี้ไทยเป็นเหมือนพี่ใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เต็มไปด้วยความช่วยเหลือในฐานะมิตรประเทศ แต่ในวันนี้รัฐบาลไทย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นำเอาความแตกต่างทางความคิดและสถานการณ์การเมืองในประเทศ ออกไปพันกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกลายเป็นว่ารัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาไม่มีรอยยิ้มให้แก่กัน กลายเป็นว่านายอภิสิทธิ์ และสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไม่ทักทายกัน ไม่พูดจากัน ทั้งๆ ที่
อยู่ในการประชุมความร่วมมือระดับภูมิภาคด้วยกันแถมนายอภิสิทธิ์ ยังนำคณะรัฐมนตรีไปเผชิญหน้ากับกัมพูชาด้วยการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ทางความร่วมมือและความช่วยเหลือระหว่างประเทศ แถมประกาศย้ำว่าจะไม่มีการทบทวนใดๆ ทั้งสิ้นแม้ว่าลึกๆ นาย อภิสิทธิ์ และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมทั้งนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ล้วนแล้วแต่หน้าดำคร่ำเครียด และมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่าง
เห็นได้ชัดทั้งก่อนการประชุม ครม. และระหว่างการประชุม ครม.อาการแบบนี้เป็นอาการแสลงจากการเมืองเป็นพิษขนาดมังกรการเมืองอย่างนายบรรหาร ศิลปอาชา ยังถึงกับส่ายหน้า และถอนหายใจ พร้อมกับพูดย้ำชัดว่า สถานการณ์แบบนี้น่ากลัวไม่น่ากลัวได้อย่างไร ในเมื่อบาดแผลต่างๆ ที่กลุ่มอำนาจที่อาศัยมือนักการเมือง พรรคการเมือง และก๊วนการเมืองมีการดำเนินการมาก่อนหน้านั้น ยังคงเป็นรอยร้าวในการเมืองอยู่เห็นได้ชัดจากกรณี อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย
ในฐานะผู้เสียหายจากการถูกยุบพรรค เมื่อได้ข้อมูลใหม่ ว่า หลักฐานพยานที่นำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทยนั้นมีเงื่อนงำไม่สุจริต จึงได้ตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นมารื้อฟื้นคดียุบพรรคขึ้นใหม่ เพราะได้พยานหลักฐานใหม่ ที่แตกต่างจากหลักฐานในช่วงพิจารณาคดีพิพากษา และจะดำเนินการตามกฎหมายทั้งด้านอาญา พ.ร.บ.พรรคการเมืองที่ใส่ร้ายป้ายสีพรรคการเมืองอื่น ซึ่งให้ได้มาซึ่งอำนาจเมื่อตัวละคร 2 นายสุขสันต์ ชัยเทศ อดีต ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง พรรค
พัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพัฒนาชาติไทย พยานที่เคยให้การต่อตุลาการรัฐธรรมนูญ คดียุบพรรคไทยรักไทย ข้อหาจ้างวานพรรคเล็กลงเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2549 จนทำให้พรรคไทยรักไทยถูกยุบนั้นเมื่อวันนี้พยานปากเอกกลับลำ ว่าถูกว่าจ้างให้ขึ้นให้การเท็จย่อมสะเทือนกับนักการเมือง และพรรคการเมืองอย่างประชาธิปัตย์ที่มีภาพลักษณ์ว่ายึดมั่นประชาธิปไตยอย่างรุนแรง เพราะถูกกล่าวหาว่าใช้วิธีสกปรกใส่ร้ายทางการเมือง
งานนี้พุ่งเป้าไปที่ทั้งนายอภิสิทธ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งการให้ตรวจสอบจริยธรรม และจะฟ้องนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ฐานสร้างพยานเท็จด้วย ที่สำคัญจะร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกลายเป็นเดิมพันใหญ่ทางการเมืองอีกรอบหนึ่งเพราะนายสุเทพก็เตรียมที่จะฟ้องกลับด้วยเช่นกันนี่คือประจักษ์พยานของการแบ่งขั้วทางการเมืองและการตกอยู่ในเกมปั่นหัวให้นักการเมืองทำลายล้างกัน
เอง นี่คืออันตรายของสังคมไทยในเวลานี้ยิ่งกลุ่มอำนาจได้มีการใช้พลังมวลชนอย่างกลุ่มพันธมิตร กลุ่มคนเสื้อเหลือง มายืนหยัดให้ต่อสู้แทน ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงก็มุ่งมั่นทวงคืนประชาธิปไตยแบบไม่ยอมถอยการเผชิญหน้าบนความแตกต่างทางความคิดจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัววันนี้กลุ่มพันธมิตร ได้กลายเป็นลัทธิ มีผู้นำลัทธิ มีผู้นำทางความคิด ที่ทำให้เกิดพลังในการต่อสู้ และพร้อมที่จะเผชิญหน้าในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงก็มุ่งมั่นแบบไม่ยอมใส่เกียร์ถอยหลังด้วยเช่นกัน
โอกาสของการปะทะมีความเป็นไปได้ ไม่ใช่ว่าไม่มี!!เพราะกลุ่มพันธมิตร ก็ประกาศแล้วว่า จะมีการรวมพลแสดงพลัง แม้ว่าในช่วงหลังจะเดินแนวเดียวกับเสื้อแดง คือไม่มีการชุมนุมยืดเยื้อ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีการชุมนุม มีการแสดงพลังแถมยังมีกรณีมือที่ 3 สร้างความปั่นป่วนขึ้นมาอีกแม้จะเป็นม็อบมีเส้น เป็นม็อบที่ไม่มีวันถูกบังคับด้วย พรบ.ความมั่นคงฯ แต่การประกาศรวมพลอีกก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่เป็นสิ่งที่ดีกับบรรยากาศในสังคมไทยเช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ก็
ประกาศจะรวมพลรวมพลังด้วยเช่นกัน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. ออกมาบอกแล้วว่าที่วางไว้เบื้องต้น คือจะนัดชุมนุมใหญ่ยกแรกวันอาทิตย์ที่ 29 พ.ย.แล้วก็จะเว้นวันที่ 3 -4 -5 ธันวาคม เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นแปลว่า คนเสื้อแดงก็ไม่ถอยเหมือนกันยิ่งคำประกาศที่ว่า “เขาไม่ควรได้รับการฉลองปีใหม่ การชุมนุมครั้งนี้ตั้งเป้าไว้ 1 ล้านคน เชื่อว่า จะปิดเกมได้แน่ แต่ถ้ายังปิดเกมไม่ได้ ก็จะนัดชุมนุม
ใหม่อีกหลังวันที่ 5 ธ.ค. คือมันต้องไปกันสักข้าง ยังไงๆ ก็ต้องแตกหัก รัฐบาลจะประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง และพ.ร.ก.ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือกฎอัยการศึกก็เชิญ”อุณหภูมิของประเทศร้อนขึ้นมาในทันทีคำถามจึงต้องพุ่งเข้าใส่บรรดาคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งหลาย ว่าจะปล่อยให้สถานการณ์เผชิญหน้าระหว่าง 2 ขั้วสีคาราคาซังไปอย่างนี้หรือคุ้มกันแล้วจริงๆ หรือกับความพยายามในการยื้ออำนาจการเมืองและผลประโยชน์ทางการเมืองเอาไว้ในมือ... ดังที่กำลังพยายาม
ทำอยู่ในขณะนี้บรรดาผู้ชักใยให้หุ่นกระบอกการเมือง ชักใยให้แกนนำลัทธิ ปลุกเร้าผูกขาดความรักชาติ จนใกล้ที่จะนำไปสู่ความรุนแรงตามมานั้นสมควรแล้วหรือ???ขณะเดียวกันก็คงต้องถามไปยังผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ทั้งหลาย ที่เคยถวายสัตย์ปฏิญาณตนเอาไว้ว่า จะปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เอาไว้ยิ่งชีพของตนเองนั้นวันนี้หายไปไหนหมด??วันนี้ทำไมไม่ทำอะไรที่จะยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย??ถึงเวลาที่จะต้องทำหน้าที่แก้ปัญหาและ
คลี่คลายความขัดแย้งแตกต่างทางความคิดของสังคมไทยหรือยัง??ผู้มีอำนาจควรยื่นมือมาทำให้มีการคืนอำนาจให้กับประชาชน เพื่อยุติความขัดแย้งทั้งมวลในเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงก็ประกาศแล้วว่า หากผลการเลือกตั้งใหญ่ออกมาอย่างไร ก็จะยอมรับ แม้ผลออกมาว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวก็ยอมรับ และคนเสื้อแดงก็จะยุติการชุมนุมดังนั้นผู้มีอำนาจน่าจะฉวยจังหวะใช้ช่องนี้เป็นทางออกให้กับสังคมไทยยิ่งหากพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจในคะแนนนิยม ว่ามี
สูงมากจากผลสำรวจของโพลล์จริงแล้ว ก็ต้องกล้าที่จะแก้ไขปัญหาของชาติยิ่งกลุ่มอำนาจที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง ยิ่งไม่มีอะไรเสีย หากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลวันนี้จึงถึงเวลาแล้ว ที่ผู้มีอำนาจทั้งหลาย ผู้มีหน้าที่ทั้งหลาย จะต้องยื่นมือเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเพื่อยุติความขัดแย้งในสังคมไทยเสียทีก่อนที่บ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ
ขอบคุณเนื้อหาข่าว : บางกอกทูเดย์