แม้วเช่าพักหรู3เดือน-2.5ล.

เผย"แม้ว"เช่าพักหรู"ไฮ-พาร์ค เรสิเดนท์"อพาร์ตเมนต์ย่านคนรวยในลอนดอน เช่าไว้ 4 ห้อง เดือนละ 8.4 แสน แต่เจ้าของมีเงื่อนไขต้องเช่า 90 วันขึ้นไป จะตกราว 2.5 ล้านบาท เผยคำให้สัมภาษณ์ในมหานครนิวยอร์กก่อนถูกปฏิวัติ 12 ชั่วโมง ตั้งใจอยากจะพัก เพราะเหนื่อยมา 6 ปี แม้จะโดนด่าแต่เห็นมีคนรักมากกว่า นอกจากนี้ยังไม่อยากแพ้พวกนอกกฎหมายด้วย

เมื่อวันที่ 22 ก.ย. รายงานข่าวเปิดเผยด้วยว่า ที่พักของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในกรุงลอนดอนขณะนี้คือ เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ราคาแพงชื่อ "ไฮ-ปาร์ก เรสิเดนต์" (Hi-Park Resident) ซึ่งอยู่ในย่านเมย์แฟร์ อันเป็นย่านที่อยู่หรูหรา ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสวนสาธารณะไฮ-ปาร์กกลางกรุง มีเพียงแค่ถนนคั่นกลาง และติดกับโรงแรมดอร์เชสเตอร์ ซึ่งเป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว และอยู่ข้างๆ แฮร์ร็อด ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง

สำหรับไฮ-ปาร์ก เรสิเดนต์ ซึ่งโฆษณาว่าให้ความสะดวกเหมือนอยู่บ้าน แต่บริการระดับเดียวกับโรงแรมชั้นหนึ่งแห่งนี้ เปิดให้ผู้เช่าเข้าพักในระยะยาว โดยห้องพักจะเป็นห้องชุด มีห้องนอน ห้องครัว และห้องรับแขกครบครัน ราคาถูกที่สุดคือสัปดาห์ละ 960 ปอนด์ (ประมาณ 67,200 บาท) ต่อห้องพักชนิด 1 ห้องนอน โดยคาดว่าพ.ต.ท.ทักษิณจับจองห้องพักชนิด 4 ห้องนอนเพื่อรองรับทั้งครอบครัว ที่คิดอัตราค่าที่พักสัปดาห์ละ 3,000 ปอนด์ (ประมาณ 210,000 บาท) หรือเดือนละ 12,000 ปอนด์ (ประมาณ 840,000 บาท) เอาไว้

ทั้งนี้ ไฮ-ปาร์ก เรสิเดนต์กำหนดไว้ว่าลูกค้าจะต้องจองห้องพักอย่างน้อย 90 วัน หรือ 3 เดือนขึ้นไป พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวจึงอาจจะต้องจ่ายเงินค่าที่พักสำหรับอพาร์ตเมนต์สุดหรูในกรุงลอนดอนทั้งสิ้นประมาณ 2,500,000 บาท

เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์สั้นๆ กับผู้สื่อข่าวที่รอทำข่าวอยู่หน้าที่พักของพ.ต.ท.ทักษิณในย่านปาร์กเลน ใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ว่า ตอนนี้ไม่ได้วางแผนอะไรและไม่มีอะไรจะพูด แค่อยากอยู่กับลูกสาวเท่านั้น และขอร้องสื่อมวลชนช่วยปล่อยให้ครอบครัวของตนมีความเป็นส่วนตัวด้วย

เมื่อเวลา 14.30 น. วันเดียวกัน นายพายัพ ชินวัตร อดีตส.ส.เชียงใหม่ น้องชายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยเครื่องบินของสายการบินไทย เที่ยวบิน ทีจี 923 เมื่อมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ ได้มีกำลังทหารที่ประจำการอยู่ที่สนามบินตรงเข้าไปควบคุมตัวนายพายัพทันที จากนั้นได้พาขึ้นรถตู้สีเทา ทะเบียน กล-8585 กรุงเทพมหานคร ออกจากสนามบิน โดยมีนายทหารนั่งประกบภายในรถไปด้วย การควบคุมตัวนายพายัพครั้งนี้ ประชาชนที่มาใช้บริการในท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ต่างให้ความสนใจดูกันจำนวนมาก ทหารได้ควบคมตัวนายพายัพเดินทางไปยังจุดรายงานตัวที่มณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ อ.เมืองเชียงใหม่ทันที

ล่าสุด เมื่อเวลา 17.00 น. รายงานเปิดเผยว่า นายพายัพ ได้พ้นจากการควบคุมตัวโดยทหาร และเดินทางออกจากมณฑลทหารบกที่ 33 แล้ว

วันเดียวกัน นางอัจฉรา สุนทราชุน เลขานุการคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง บุตรสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงมีสถานะเป็นนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และไม่มีการติดต่อขอโยกย้ายเพื่อไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ทั้งนี้ เชื่อว่าน.ส.แพทองธารจะยังคงศึกษาอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ จนจบหลักสูตรปริญญาตรี ด้วยเป็นความตั้งใจของน.ส.แพทองธารตั้งแต่ต้นที่จะศึกษาที่จุฬาฯ จนจบ

ส่วนความเป็นอยู่ในขณะนี้ น.ส.แพทองธารยังคงเป็นอยู่ปกติทั้งกับเพื่อนฝูงและเหล่าคณาจารย์ ส่วนของจุฬาฯ ก็ปฏิบัติกับน.ส.แพทองธารเช่นเดียวกับนิสิตคนอื่นๆ ทั่วไป และในสัปดาห์หน้าเชื่อว่าน.ส.แพทองธารจะเดินทางมาสอบปลายภาค เนื่องจากในสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของการเรียน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนบรรยากาศโดยทั่วไปในวันเดียวกันนี้ ยังไม่พบน.ส.แพทองธารเดินทางมาเรียน

จากกรณีข่าวแพร่สะพัดว่า "โอ๊ค" นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของอดีตนายกฯ ทักษิณ เดินทางมาพักที่บ้านโลมา เลขที่ 1446/22 ถ.เพชรเกษม ริมหาดชะอำ จ.เพชรบุรี คฤหาสน์หรูราคาร้อยล้าน ซึ่งบรรยากาศภายในบ้านบนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่เงียบเหงา ไร้คนพลุกพล่าน แม้กระทั่งลานจอดรถก็ว่างเปล่า มีเพียงตำรวจจากสภ.อ.ชะอำจำนวน 8 นาย ตั้งเต็นท์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ช.ม.

คนงานที่ดูแลบ้านหลังดังกล่าว เปิดเผยว่า ภายในบ้านไม่มีนายพานทองแท้ หรือคนในครอบครัวของนายกฯ ทักษิณเดินทางมาพัก ที่ผ่านมาประมาณ 2 เดือน จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เคยเข้ามา แม้กระทั่งเพื่อนๆ สนิทของลูกชาย ลูกสาวก็ไม่มี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์กับทีมงานรายการประชาธิปไตยทูเดย์ ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เมืองแมนฮัทตัน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ก่อนที่อีก 12 ชัวโมงต่อมาจะถูกคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เข้ายึดอำนาจการปกครอง ถึงต้นเหตุความขัดแย้งทางการเมืองในเมืองไทยว่า "ผมกลายเป็นตัวปัญหาโดยไม่รู้ตัว ปัญหาหนึ่งคือฝ่ายที่จะเอาชนะทางการเมืองกับผม

ไม่สามารถเอาชนะด้วยระบอบประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งได้ เพราะรัฐบาลอยู่มา 5-6 ปีได้ทำผลงานมาก และทำให้ประชาชนรัก ทำโพลออกมาทีไรเรานำอยู่เยอะ เลือกตั้งทีไรเราก็ชนะ ทำให้คนไม่อยากเข้าสู่ระบบปกติ มีบอยคอตการเลือกตั้ง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตย"

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า สอง ตนได้ขัดผลประโยชน์คนจำนวนมากโดยไม่รู้ตัว เพราะการมุ่งทำงาน เช่น ปราบยาเสพติด ปราบหวยใต้ดิน บางคนเป็นนักธุรกิจที่ปรับโครงสร้างหนี้ไม่สำเร็จเพราะพยายามฟอกเงินออกจากบริษัท ธนาคารล้ม ประเทศ เศรษฐกิจก็พัง พอรัฐบาลเข้าไปดูแล พอเข้าไปก็กลายเป็นว่าตนไปขัดผลประโยชน์ ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับตนเลย เป็นผลประโยชน์ของประเทศ ก็โกรธ บางคนเคยถูกพ่อตาของตนจับ เพราะแชร์เถื่อน สมัยโน้นหนีออกนอกประเทศไทยก็มาโกรธตน ทั้งที่ไม่รู้เรื่องเลย ก็มารวมตัวกัน แล้วมีอีกคนหนึ่ง

ซึ่งรุ่นราวคราวเดียวกัน เคยแข่งกันทางธุรกิจและเป็นรองตนมาตลอด จึงไม่ค่อยชอบตนนัก ซึ่งก็คือหัวหน้าม็อบ ตอนแรกก็ชอบตน เชียร์ตนจนกลายเป็นเทวดากลับชาติมาเกิด เชียร์ตนแบบไม่ลืมหูลืมตาแล้วมาขอประโยชน์ อะไรที่เราให้ถูกกฎหมายถูกความชอบธรรมก็ให้ ให้ไม่ได้ก็ไม่ให้ ตอนหลังให้ไม่ได้กับเรื่องที่เขาหวังสูง ก็โกรธกัน แล้วไปตั้งวงด่าตน คนของตนจึงไปทะเลาะด้วย คนพวกนี้เลยไม่ชอบใจแล้วไปตั้งกลุ่มใหญ่ต่อต้านตนเต็มที่

เมื่อถามถึงกรณีสื่อมวลชนไทยวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่าวันนี้สื่อบางคนบางฉบับเป็นขาประจำกันมา เพราะขัดแย้งตั้งแต่สมัยทำธุรกิจแข่งกัน ก็เลยเอาติดมาด้วย เรื่องจรรยาบรรณหายหมด สื่อไทยโดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์ มีอุดมคติว่าต้องเป็นฝ่ายค้าน ต้องด่ารัฐบาล ถึงจะขายได้ อันนี้เป็นความคิดของศตวรรษที่ 20 แล้วไม่ยอมเปลี่ยนเมื่อข้ามศตวรรษ ตนเป็นรัฐบาลแรกที่เริ่มต้นศตวรรษที่ 21 เราก็พยายามเปลี่ยนแปลงให้เข้าสู่ศตวรรษที่ 21

เมื่อถามถึงกรณีที่ถูกคนไทยในนิวยอร์กขับไล่ที่หน้ายูเอ็น พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ประเทศประชาธิปไตยเขาเข้าใจ เพียงแต่ถ้อยคำที่ใช้ ให้สำรวจตัวเองหน่อย อย่าใช้ถ้อยคำที่มันขาดความเป็นมนุษย์ที่มีการศึกษา มีการอบรม มีวัฒนธรรม คนไทยมีการอบรม มีวัฒนธรรม ถ้อยคำที่ใช้แบบคนขาดวัฒนธรรม เท่ากับทำให้เสียหน้าเสียชื่อเสียงประเทศไทย ซึ่งต้องระวัง และอยากบอกคนเหล่านี้ให้ไปดูข้อมูลที่แท้จริง ตัวเลขต่างๆให้ชัด อย่าใช้อารมณ์ความรู้สึก ชอบหรือไม่ชอบและพยายามดูพื้นฐานของคนที่พูดด้วย

เมื่อถามถึงการใช้ชีวิตหลังมีข่าวคาร์บอมบ์ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า จากที่เคยใช้ชีวิตสบายๆ ไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ตอนนี้ตนลำบากขึ้น ไปไหนก็ต้องมีรถหุ้มเกราะกันกระสุน กันระเบิด ตนยังบอกกับภรรยาวันนั้นว่า ยังดี วันนี้กลับมากินข้าวด้วยกัน ไม่งั้นเธอต้องไปรดน้ำศพฉันแน่ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอะไรที่เหี้ยมโหดมาก ซึ่งมันเกิดจากการที่ตนอาสาทำงานให้ประชาชน ไม่ได้เกิดจากที่ตนคิดว่าจะมาทำอะไรให้ตัวเอง และทำให้ภาพพจน์ของประเทศเสียหาย อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าคนในครอบครัวกลัว โดยเฉพาะลูก แต่คุณหญิงเป็นคนเข้มแข็งมาก ปกติต้องร้องไห้ แต่ความที่มันเจ็บเกินกว่าจะร้องไห้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับเราได้

เมื่อถามว่าคิดจะเว้นวรรคบ้างหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า "ผมอยากพัก เพราะ 6 ปีกว่าแล้ว ผมเหนื่อยล้า ครอบครัวก็เดือดร้อน อยากจะมีความสุขในชีวิตบั้นปลายบ้าง เพราะตอนนี้ก็ 57 ปีแล้ว แต่ความที่มีกองเชียร์เยอะและเขารักจริง ไปไหนเขากอด เขาร้องไห้ ผู้ชายอกสามศอกยังร้องไห้ ทำให้ผมรู้สึกว่าผมเองจะเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าถ้าผมจะเลิก อันนี้คือสิ่งที่ผมไม่มีอิสระเหมือนเดิม เนื่องจากได้อาสามาแล้ว เป็นคนสาธารณะ และคนฝากความหวัง คนเชียร์ คนรักมีมากกว่าคนที่ไม่ชอบผมเยอะ ถามว่าผมจะยอมแพ้กับไอ้พวก out law (พวกนอกกฎหมาย)ง่ายๆหรือ"

"ถ้ารักผมต้องมีเหตุผล คนไม่รักผมก็ไม่มีเหตุผล ผมไม่ได้ไปขอร้องให้ใครมารักผม แต่ถ้าจะรักประเทศชาติให้ถูกทางก็ต้องรักอย่างมีเหตุผล และเข้าใจข้อมูลที่แท้จริง ไม่ใช่ฟังความข้างเดียว ซึ่งไม่ดีแน่ ผมอยากเป็นกำลังใจว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม ขอให้เรามีความสุข ถ้าเราคิดว่ามีความสุขนี้ทำให้ดีที่สุด เพราะชีวิตเราไม่ยาวนาน ทุกคนไม่ยาวนาน สร้างอนาคตที่ดีไว้ให้ลูกหลาน อนาคตที่ดีคือการศึกษา การอบรม หน้าที่สำคัญคือวัฒนธรรม อยากฝากว่าขอให้มีวัฒนธรรมคือความอ่อนโยน มีน้ำใจเอื้ออาทร รักเพื่อนมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของสังคม" พ.ต.ทักษิณกล่าว

แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์มติชน