ผนึก 6 มือปราบเช็คบิลทักษิณ:ส่งศาลฎีกา ยึดทรัพย์ !!

"ปฏิบัติการณ์ยึดทรัพย์"


พลันที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ "คปค." นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าคณะปฏิรูปฯ เข้ายึดอำนาจ "ระบอบทักษิณ ด้วยข้อหาฉกรรจ์ ...การบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริต ประพฤติมิชอบและเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องอย่างกว้างขวาง ...มีพฤติกรรมแทรกแซงอำนาจองค์กรอิสระ จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่หรือแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติให้ลุล่วงไปได้

จนนำไปสู่การทำรัฐประหารโค่น "ระบอบทักษิณ ปฏิบัติการ "ยึดทรัพย์" จึงปรากฏเค้าลางตามขึ้นมาทันที !!! มีรายงานมาตลอดว่า "คปค." เตรียมสั่งอายัดทรัพย์สิน รวมถึงการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงของการได้มาซึ่งทรัพย์สิน ว่าเกิดจากทุจริตคอรัปชั่นหรือไม่ นั่นเป็นเพราะในเมื่อมีการตั้งข้อกล่าวหา จึงจำเป็นต้องพิสูจน์ทราบเพื่อให้สังคมให้คลายความสงสัย เพราะตลอดเวลากว่า 6 ปีที่ผ่านมาของ "ทักษิณ" ไม่เคยไขข้อข้องใจให้สังคมได้รับทราบ


"ประเด็นยึดทรัพย์เพียบ"


จนนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมไทยอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็น "คดีซุกหุ้น" หรือการทุจริตคอรัปชั่นโครงการเม็กกะโปรเจ็กต์ต่างๆ โดยเฉพาะการรับ "สินบนข้ามชาติ" การจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 ในสนามบินสุวรรณภูมิ จนนำไปสู่ฟางเส้นสุดท้าย เมื่อตระกูล "ชินวัตร" และ "ดามาพงศ์" ตัดสินใจ "ขายหุ้น" บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กลุ่มทุนเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์ ผ่าน "นอมินี" ที่เป็นบริษัทของคนไทย กวาดเงินไปกว่า 7.3 หมื่นล้านบาท

โดยไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว ทั้งหมดนี้อยู่ในระหว่างการรอเช็คบิลของ "คปค." ซึ่งจะต้องเข้ามาจัดการ เพราะหากพลิกแฟ้มให้ดียังมีอีกหลากหลายโครงการที่รอการขุดรากถอนโคนให้สิ้นซาก เห็นได้ชัดจากประกาศคณะปฎิรูปฯ ที่ยกเลิกองค์กรอิสระที่อิงแอบระบอบทักษิณอย่าง "ศาลรัฐธรรมนูญ" เป็นแห่งแรก เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถหาทางออกให้กับสังคมไทยได้ ตามมาด้วยประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯฉบับที่ 12 ให้ คณะกรรมการตรวจเงิน (คตง.) พ้นจากตำแหน่ง แต่ยังคงสถานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เท่ากับว่าเป็นการ


"ผนึกกำลังตรวจสอบ"


"ติดดาบ" พร้อมกับ "ต่ออายุ" ให้ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการสตง.ดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไป นั่นเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า "คตง." ชุดที่มี นรชัย ศรีพิมล เป็นประธาน กินเกาเหลากับ "คุณหญิงจารุวรรณ" มาโดยตลอด อีกทั้งมีความใกล้ชิดกับ "รัฐบาลทักษิณ" และยังมีความพยายามเลื่อยขาเก้าอี้ และขัดขวางการทำงานของผู้ว่าการสตง. ล่าสุด "คปค." ได้เชิญ "คุณหญิงจารุวรรณ" เข้าหารืออีกครั้งที่กองบัญชาการกองทัพบก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ "คปค." ได้เชิญ กล้าณรงค์ จันทิก อดีตเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)

ที่เคยทำคดีซุกหุ้นของทักษิณ เข้าพบถึง 2 รอบ เพื่อหารือการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของ "ตระกูลชินวัตร" รวมถึงคณะรัฐมนตรีทุกคน โดย "กล้าณรงค์" ออกมาแบไต๋ก่อนหน้านี้ว่าพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับคณะปฎิรูปฯหากได้รับการทาบทามเข้ามาเป็นกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการผนึกกำลังระหว่าง "คุณหญิงจารุวรรณ" กับ "กล้านรงค์" เพื่อให้เข้ามาปฏิบัติการตรวจสอบทรัพย์สินเป็นการเฉพาะ ซึ่งได้มีการประสานงานกันก่อนหน้านี้เพื่อตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของ "ทักษิณ"


"เตรียมดึงบุคคลน่าเชื่อถือเข้าร่วมตรวจสอบ"


รวมถึงเส้นทางธุรกรรมทางการเงิน เนื่องจากทั้งคู่เคยทำงานแบบกัดไม่ปล่อยมาโดยตลอด นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า "คปค." ยังเชิญ ม.ร.ว.จตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ เข้าหารือเพื่อขอความร่วมมือเข้ามาเป็นกรรมการร่วมสอบด้วย ล่าสุดมีรายงานเพิ่มเติมว่า "คปค." เตรียมตั้งคณะทำงานคล้ายกับ "ป.ป.ช." ขึ้นมาทำงานจำนวน 6 คน พร้อมดึงกลุ่มบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือของสังคมขึ้นมาร่วมทำงานด้วย โดยส่วนหนึ่งได้เตรียมเชิญอดีตผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็น "กกต." ที่ไม่ได้รับเลือกเข้ามาเป็นมาเป็นคณะทำงาน

เมื่อส่องสปอตไลท์บุคคลที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดคือ แก้วสรร อติโพธิ อดีต ส.ว.กทม.เจ้าของหนังสือหยุดระบอบทักษิณ นาม ยิ้มแย้ม ประธานอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงพรรคไทยรักไทยว่าจ้างพรรคเล็กลงรับสมัครเลือกตั้ง จนนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานแผนกคดีแรงงานในศาลฎีกา ที่เคยเป็นพยานจำเลยคดีอาญาที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฟ้องหมิ่นประมาทหนังสือพิมพ์แนวหน้า และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์แนวหน้า ในคดีซุกหุ้น


"คงไม่ใช่เรื่องยากในการตรวจสอบ"


หากทั้งหมดผนึกกำลังกันได้คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตรวจสอบทรัพย์สินเอาสมบัติของชาติคืนกลับมาให้คนไทย ซึ่งในอดีตสมัย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.) เคยตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินขึ้นมาหนึ่งคณะ โดยมี พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ เป็นประธานกรรมการ แต่ไม่สามารถยึดได้ทรัพย์สินตามจริง เพราะมีข้อกังขาถึงความชอบธรรมของกรรมการ ดังนั้นช่องทางของ "คปค." เพื่อสร้างความชอบธรรม คือการดึงกลุ่มคนดังกล่าวเข้ามาร่วมตรวจสอบทรัพย์สิน ก่อนที่ส่งไปตามช่องทางของกฎหมายคือ

"ศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" รับช่วงต่อ นั่นเพราะศาลฏีกาเคยฝากผลงานเด่นยึดทรัพย์ รักเกียรติ สุขธนะ อดีตรมว.สาธารณสุข ในคดีทุจริตยามาแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร เป็นรายต่อไป !


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์เนชั่น

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์