หยุดก่อนจะสายเกินไป

ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก  ถ้า  พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  จะปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของไทย  โดยหนีคำตัดสินออกไปอยู่นอกประเทศ  เพราะถือเป็นเรื่องของสำนึกแต่ละบุคคลที่สังคมจะเป็นคนตัดสินการกระทำนั้น  หากแต่กระบวนการที่จะล้างความผิดโดยใช้ส่วนรวมในการสร้างแรงต่อรองให้นั้น  ไม่ควรจะเลยเถิดเกินไปจนข้ามเขตประเทศชาติออกไปอย่างที่เป็นอยู่  เพราะการกระทำเช่นนั้นคือการทำร้ายประเทศชาติ  ทำลายผลประโยชน์ของชาติอย่างมากมายมหาศาล  เกินกว่าคนคนเดียวจะรับผิดชอบได้

     แน่นอนว่า  เรื่องของ  พ.ต.ท.ทักษิณมากไปกว่าเรื่องผิดชอบชั่วดี  แต่ข้ามไปสู่เรื่องเกมการเมืองที่ต่อสู้กันอย่างไร้รูปแบบ  ไล่ตั้งแต่การจัดตั้งกลุ่มสนับสนุน  ต่อต้าน  จนขยายเป็นแผลความขัดแย้งอย่างฉกาจฉกรรจ์ของคนในชาติที่แยกเป็นสองขั้ว  อย่างไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์  ยิ่งไปกว่านั้น  ยังเลยไปถึงการอ้างสถาบันกันในหลายกรณี  จนส่งผลกระทบกระเทือนต่อภาพลักษณ์ของสถาบันระดับสูง  อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต

     ยุทธวิธีอันหลากหลาย  ทั้งการใช้บริการสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  การใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์  การใช้วิธีสื่อสารทางไกลในการปลุกระดมมวลชน การสร้างม็อบโดยแกนนำสามเกลอหัวขวด  จนมาถึงการใช้อาวุธชุดสุดท้ายอย่าง  พล.อ.ชวลิต  ยงใจยุทธ  เจ้าของฉายาขงเบ้งแห่งกองทัพไทยออกโรงเคลื่อนไหวรอบด้าน  โดยอ้างเรื่องการผูกสัมพันธ์ฉันเพื่อนเก่า  โดยเดินสายไปพบกับผู้นำของกัมพูชา  มาเลเซีย  พม่า  ตีเช็คล่วงหน้าให้ความหวังในเรื่องผลประโยชน์ชาติ  แลกเปลี่ยนกับเกมการเมืองในเรื่องของ  พ.ต.ท.ทักษิณที่ยังประกาศตัวเป็นผู้บริสุทธิ์

     เหล่านั้นก็เพียงหวังกดดันและเล่นเกมการเมืองกับรัฐบาลไทย    โดยให้ข้อมูลที่ผิดเพี้ยน   บิดเบือนออกไป   ถ้าประเทศใดที่มีข้อพิพาทกับไทยอยู่  ก็ยิ่งหวังผลในการกดดันไทยได้มากขึ้น  แต่หากประเทศใดที่มีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างน้อยก็ได้สร้างความหวาดระแวง  และแหย่ให้ไทยออกอาการเต้นโหยงได้  ยิ่งในประเทศที่  พล.อ.ชวลิตได้เหยียบลงไปและแค่ชิมลางจากกรณีของกัมพูชา  ก็เล่นเอารัฐบาลต้องมีท่าทีและมีปฏิกิริยาโต้กลับในทุกเรื่อง  จนดูจะปวดเศียรเวียนเกล้า  ยังไม่นับรวมกรณีของแนวคิดนครปัตตานี

     อย่างไรก็ตาม  ยุทธวิธีในการเดินของ  พ.ต.ท.ทักษิณ  และ  พล.อ.ชวลิต  แน่ชัดแล้วว่าเป็นเรื่องเกมการเมือง    เรื่องของการต่อรองเจรจาคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น   ไม่ได้เป็นเรื่องที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่หวังดีต่อประเทศชาติ  เป้าหมายคือ  สร้างแรงกระเทือนให้รัฐบาล  มุ่งหวังล้มพรรคประชาธิปัตย์  เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง  เปลี่ยนรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ  ซึ่งเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยจะมีชัยเหนือขั้วของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีอำนาจอยู่ในขณะนี้

     คนแรก  คือ  พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  อัศวินคลื่นลูกที่สาม  ที่นำพาประเทศด้วยนโยบายประชานิยม  ได้รับการตอบรับจากประชาชนคนรากหญ้า  มีคะแนนเสียงเป็นฐานเสียงที่ใช้อ้างถึงพลังศรัทธาของประชาชน  หากแต่การบริหารราชการแผ่นดินแบบผู้นำเข้มแข็งไม่แยแสระบอบอำมาตยาธิปไตย  แต่ทว่ากลับใช้ระบบทุนพวกพ้องเข้ามากัดกินรุมทึ้ง  ส่วนทางเศรษฐกิจ  ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ตัวเองกร่นด่า  และต้องการล้มล้างลงไป

     คนหลัง  คือ  พล.อ.ชวลิต  ยงใจยุทธ  อดีตนายกรัฐมนตรี  และอดีตผู้บัญชาการทหารบก  ผู้ที่เป็นต้นตำรับสายเหยี่ยว  และผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย  แก้ไขปัญหาความแตกแยกทางความคิดในอดีตให้กลับมาเหมือนเดิม  เคยลาออกจากราชการเข้าสู่สนามการเมืองตามครรลองระบอบประชาธิปไตย  ตั้งพรรคความหวังใหม่  ลงสู่การเมือง  ได้เข้ามานั่งในสภาฯ  ได้ฉายาจิ๋วหวานเจี้ยบ  รัฐบาลในยุคนั้นต้องเจอกับวิกฤติค่าเงินบาท  จนกลายเป็นตำนานและตราบาปทางการเมืองมาจนถึงวันนี้

     แต่ทั้งคู่คือผู้นำประเทศที่เป็นตำนานทางการเมือง  ที่น่าจะสำนึกเรื่องชาติ  และส่วนรวมที่เหนือกว่าคนอื่น  หากเรื่องใดที่ใช้เครื่องมือภายในต่อกรกันก็คงพออภัยกันได้  แต่หากเลือกใช้เครื่องมือที่เป็นประเทศคู่พิพาท  เพื่อนำมาลากโยงเอาเรื่องผลประโยชน์ของชาติโดยรวมเป็นเดิมพันนั้น  คนที่เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีที่เคยทำหน้าที่บริหารประเทศมาแล้ว  น่าจะชั่งใจยั้งคิดได้มากกว่า  หรืออาจเป็นเพราะว่าคุ้นเคยกับเรื่องเกมการเมือง  และอำนาจมากจนหลงลืมเรื่องที่สำคัญเช่นนี้

     แต่ทว่ายังไม่สายที่จะหยุดเล่นเกมนี้  เพราะต่อให้ชนะก็คงอยู่อย่างไม่มีความสุขในแผ่นดินแม่  เพราะอย่างน้อยที่สุดคือคนในชาติที่เห็นถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น  กอปรกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงตัวตนของสองผู้นำว่าได้ทำอะไรให้กับประเทศชาติไว้บ้าง  คงไม่ยอมปล่อยให้คนเหล่านี้กระทำย่ำยีชาติเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างแน่นอน.


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์