ท้ามาร์คโวเลือกตั้งสูสียุบสภาเลย
"มาร์ค"ไม่คิดตัดสัมพันธ์“เขมร” ยืนกราน “แม้ว” โผล่ก็ต้องขอตัวไป ไม่ห้าม “จิ๋ว” ไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน แต่ติงให้คิดถึงผลประโยชน์ชาติมากกว่าคนคนเดียว “สาทิตย์” ถาม “แม้ว” คนไทยหรือเปล่าสมคบต่างชาติโจมตีประเทศ เปรียบเป็น “พญาละแวก” ที่ชักศึกเข้าบ้าน “พายัพ” อัดรัฐบาลเดินเกมผิด ไม่เข้าใจหัวอกคนหัวใจสีแดง อย่าหวังสมานฉันท์ให้ยาก “แม้ว” บอกผู้นำอาเซียนเซ็งรัฐบาลไทยเอาแต่สร้างภาพ ท้า “มาร์ค” โวเลือกตั้งสูสีก็ยุบสภามาเลย ด้านวิปรัฐบาลยังหวังเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญต่อ “อ๋อย” ฟันธงงานนี้ยังไงก็เหลว
* “มาร์ค”ไม่คิดตัดสัมพันธ์เขมร
เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่โรงแรมพลาซ่าแอทธินี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายก รัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเสียงวิจารณ์การประชุมสุดยอดอาเซียนด้อยลงไป เพราะความเคลื่อนไหวของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเกี่ยวกับเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า 3 วันที่ผ่านมาไม่ได้มีผลกระทบอะไร การเสนอข่าวสารถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องยอมรับว่าคนภายนอกให้ความสำคัญกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอาเซียนค่อนข้างมาก
เมื่อถามว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานท่าทีล่าสุดของสมเด็จฮุนเซนอย่างไรหลังมีโอกาสพูดคุยกันเมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังครับ เมื่อถามย้ำว่า คิดว่าไทยจำเป็นต้องตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชาหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ตนได้แสดงท่าทีที่ชัดเจนไปแล้วในส่วนของไทยยังไม่มีอะไร
* ไม่ห้าม“จิ๋ว”เยี่ยมเพื่อนบ้าน
ส่วนกรณีที่อัยการเสนอว่าหากทางการกัมพูชาไม่ยอมส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ให้รัฐบาลไทยตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชานั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อย่าเพิ่งรีบบอกว่าสิ่งนั้นจะเกิด ในชั้นนี้ต้องดูจุดยืนของกัมพูชาอีกครั้ง คิดว่าน่าจะปฏิบัติตามสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่ตัวสนธิสัญญาดังกล่าวได้เปิดโอกาสให้มีการต่อสู้ในทางคดี บางประเทศต้องผ่านทั้งกระบวนการศาลว่าเข้าข่ายส่งหรือไม่ส่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางการกัมพูชาอ้างว่าคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคดีการเมือง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นข้อต่อสู้ของผู้ร้ายข้ามแดนที่ต้องต่อสู้ในประเด็นนี้ อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าตัวเข้าไปจริงเราก็จะขอตัวตามสนธิสัญญา ส่วนการที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย จะเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้าน ก็สามารถทำได้ แต่ขอให้ไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศ อย่าไปเพื่อผลประโยชน์ของคน ที่สำคัญคืออย่าทำให้ประเทศมีปัญหา นี่คือสิ่งที่อยากจะฝากถึงพล.อ.ชวลิต
* 3 ยุทธศาสตร์เอา“แม้ว”กลับ
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเดินทางไปกัมพูชาของ พล.อ.ชวลิต และให้ข่าวก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ถือเป็นความตั้งใจ นับแต่นี้ไปคำเตือนของผู้ใหญ่เกี่ยวกับ 3 ยุทธศาสตร์ คือ การให้ต่างชาติต่อต้านประเทศ การต่อรองสถาบัน และการล้มรัฐบาล จะเริ่มชัดเจนขึ้น ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้จะนำไปสู่การนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา
แหล่งข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์แจ้งว่า วอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์ได้นำข้อมูลเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท. ทักษิณ และสมเด็จฮุนเซน เข้าหารือ โดยจากการมีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติในกัมพูชา และการได้สัมปทาน 99 ปี ในกิจการการสื่อสารในกัมพูชา ซึ่งที่ประชุมเกรงว่าหากนำเสนอในข้อมูลดังกล่าวในนามพรรคจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศมากขึ้น
* เปรียบ “แม้ว” พญาละแวก
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต. สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาว่า เราต้องดูข้อกฎหมายหาก พ.ต.ท.ทักษิณ มากัมพูชาจริง ต้องดูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่จะกระทบถึงพื้นที่ชายแดน ซึ่งทั้งหมดมาจากแผนของ พ.ต.ท.ทักษิณ การใช้วิธีการแบบนี้ต้องถามว่าเพื่อทำลายล้างคู่แข่งขัน ถึงขั้นต้องสมคบกับต่างประเทศโจมตีประเทศไทยด้วยหรือ เป็นการชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้านของแท้ ถ้าวิญญาณโฆษกพรรคประชาธิปัตย์เดิมกลับมา ก็จะถามว่าคราวนี้รู้แล้วว่าพญาละแวกกลับชาติมาเกิดเป็นใคร
เมื่อถามว่า ถึงเวลาหรือยังที่รัฐบาลต้องพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นายสาทิตย์กล่าวว่า ถ้าเป็นคนไทยจริง แล้วบอกว่าจะจงรักภักดี ช่วงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช แล้วยังเร่งทางการเมืองด้วยการเอาคนมารุกองคมนตรีก็แปลชัดอยู่แล้วว่ารักชาติแต่ปาก แต่พฤติ กรรมไม่ใช่ ต้องถามกลับว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า ต้องถามว่าจะเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่ออะไร หากสมานฉันท์ด้วยการอยู่เหนือกฎหมาย แล้วทำลายประเทศ
* จวกใช้เอสเอ็มเอสเล่นเกม
นายสาทิตย์ยังกล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท. ทักษิณจะส่งเอสเอ็มเอสมาให้ประชาชนทั่วประเทศในวันที่ 1 พ.ย.ว่า ยุทธศาสตร์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณคงแรงขึ้นเพื่อเป็นการเร่งเกมทางการเมืองให้ร้อนแรงมากขึ้น ขณะนี้เรื่องก็บานปลายจากการต่อสู้ทางการเมืองภายในประเทศ เป็นการไปยืมมือต่างประเทศมากดดันประเทศไทย ท่าทีระดับผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านมาพูดต่อว่าไทยภายในประเทศ ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองตึงเครียดมากขึ้น
“เรื่องการส่งเอสเอ็มเอสก็เป็นช่องทางหนึ่งที่เขาจะใช้ เราต้องตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมดว่าส่งจากใคร ข้อความเป็นอย่างไร สถานี people cha**el ก็เริ่มมีผู้ร้องมามากขึ้นว่าเนื้อหามีการปลุกระดม ขณะนี้มันบานปลายไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นธรรมดา แต่กลายเป็นเรื่องที่พยายามจะใช้ข้อมูลเป็นเท็จสร้างให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายภายในประเทศ” นายสาทิตย์กล่าว
* คำไม่เหมาะสม ก.ม.เฉ่งได้
นพ.ประวิทย์ ลี่สภาพรวงศา ผอ. สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) กล่าวว่า การจัดส่งเอสเอ็มเอสระหว่างบุคคลไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะเป็นสิทธิในการสื่อสารระหว่างกัน แต่ถ้าข้อความที่ พ.ต.ท.ทักษิณส่งมีเนื้อหาไม่เหมาะสม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการตามกฎหมายได้
นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.การต่าง ประเทศ และที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท. ทักษิณ กล่าวถึงการประชุมสุดยอดอาเซียนว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้สมเด็จฮุนเซนเลือกระหว่างประเทศไทยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่ประเทศไทย เป็นเพียงโชเฟอร์ที่มาแทนโชเฟอร์ที่ถูกระบอบอำมาตย์ถีบออกไปด้วยการรัฐประหาร
* ท้า ปชป.แฉข้อมูลให้ไว
“จุดเริ่มต้นของปัญหาคือนายอภิ สิทธิ์มีโอกาสเลือกระหว่างประเทศไทยกับ นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ แต่นายอภิสิทธิ์กลับเลือกนายกษิต ผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ทางความคิดกับประเทศเพื่อนบ้านมาเป็น รมว.การต่างประเทศ การไม่เคารพกฎบัตรสหประชาชาติ ที่ระบุว่าการอุทธรณ์คดีนั้นต้องทำภายใน 10 ปี ที่ศาลโลกตัดสิน แต่ผ่านมาจนถึงขณะนี้นายอภิสิทธิ์เองก็ยังอ้างสิทธิเหนือปราสาทพระวิหาร และให้ข้อมูลบิดเบือนว่าสามารถรื้อคดีขึ้นมาใหม่ได้” อดีต รมว.การต่างประเทศกล่าว
นายนพดลกล่าวต่อว่า ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์จะทำหนังสือหรือเอกสารเปิดเผยผลประโยชน์ของพ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฮุนเซนนั้น เก่งไม่กลัวแต่กลัวช้าขอให้รีบทำออกมาเลย เพราะที่ผ่านมา พ.ต.ท. ทักษิณ จะไปทำธุรกิจโทรทัศน์ในประเทศกัมพูชาก็ไปในฐานะนักธุรกิจ หากมีการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นเท็จออกมา ก็จะดำเนินการฟ้องร้องทันที และอีก 1-2 วัน ตนจะเดินทางไปทำเนียบรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอข้อมูลที่อ้างว่า พ.ต.ท. ทักษิณมีผลประโยชน์ทับซ้อนในประเทศกัมพูชา ซึ่งหากมีข้อมูลเป็นเท็จก็ฟ้องร้องดำเนินคดีเช่นกัน
* อัดรัฐบาลเดินเกมผิด
นายพายัพ ชินวัตร ประธานคณะกรรมการประสานงานภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมจัดทำข้อมูลเพื่อชี้แจงให้ประชาชนรับทราบถึงความเชื่อมโยงระหว่าง พ.ต.ท. ทักษิณกับสมเด็จฮุนเซนว่า รัฐบาลคิดผิด หากทำอย่างนั้นจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่ลง พ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฮุนเซน เป็นเพื่อนกันมานาน สิ่งที่สมเด็จฮุนเซน กระทำต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมเป็นไปในฐานะเพื่อน ขอร้องว่าอย่านำหมวกการเมืองไปสวมให้เขา
“ถ้าผมชวนเพื่อนว่าจะมาเที่ยวบ้านเมื่อไหร่ ถามว่าเสียหายไหมเพราะเราเป็นเพื่อนกัน แต่นี่รัฐบาลคิดอะไรขนาดนั้นจะส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ทั้งที่เรื่องนี้มันเป็นแค่คดีใบขับขี่เท่านั้น” นายพายัพกล่าว ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปกัมพูชาตามคำเชิญหรือไม่ นายพายัพกล่าวว่า ถ้ารัฐบาลยังทำเช่นนี้ต่อไป พ.ต.ท.ทักษิณจะไปกัมพูชาอย่างแน่นอน วันนี้ต้องถือว่ารัฐบาลเดินเกมผิด ชาตินี้ทั้งชาติจะสมานฉันท์ไม่ ได้ เพราะรัฐบาลไม่เห็นใจหัวใจสีแดงของประชาชน
* อ้างอาเซียนบ่นรัฐบาลไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า “เมื่อคืนนี้มีผู้นำท่านหนึ่งที่ไม่ใช่ท่านฮุน เซน โทรฯ มาบ่นว่างานประชุมครั้งนี้เหนื่อยมาก เพราะเจ้าภาพชอบพีอาร์ตัวเอง เลยมีพิธีการเยอะไปหน่อย รัฐบาลบอกว่าผมใช้ท่านฮุนเซน ออกมาพูดให้ผม โถ ผมต้องเจียมตัวครับสถานะอย่างผมวันนี้อย่าว่าจะไปใช้ผู้นำประเทศอื่นเลย แม้กระทั่งลูกน้องที่เคยไว้ใจ ลูกน้องที่เอาเงินผมไปใช้ยังทิ้งผมเลย ผมจะไปใช้ใครได้ มีแต่คนที่เขาทนไม่ได้ต่อความไม่เป็นธรรมที่ผมถูกรังแกอย่างทุเรศเท่านั้นที่ออกมาต่อสู้ให้”
“คนที่ออกมาสู้ให้ผมมีหลายระดับหลายฐานะและการศึกษา แต่รับรองได้คนเหล่านี้มีจิตใจเป็นธรรมไม่เชื่อลองเข้าไปดูในกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะรู้ความจริงครับ” นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่า “เห็นคุณอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมยุบสภาและเลือกตั้งคราวหน้าจะสูสีเพื่อไทย ผมเลยอยากจะขอให้ยุบเลยครับเพราะตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ครับ” พ.ต.ท.ทักษิณระบุ
* ส.ว.ลากตั้งจุดไฟขัดแย้ง
อีกด้านหนึ่งที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา ซึ่งก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ได้หารือกรณีการให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุนเซน จะช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ขอเสนอรัฐบาลต้องตอบโต้อย่างเป็นทางการ มากกว่าการให้สัมภาษณ์ตอบโต้ และต้องชะลอการนำบันทึกการเจรจาเขตแดนแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 3 ฉบับ เข้ามาพิจารณาในสภาโดยไม่มีกำหนด
นายคำนูณกล่าวอีกว่า รัฐบาลต้องคัดค้านไปยังยูเนสโกและสหประชาชาติ เกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งจะทำให้แผนหาผลประโยชน์โดยการฮุบดินแดนของไทยสะดุดหยุดลงไม่ทันเส้นตายวันที่ 1 ก.พ. 53 ที่คณะกรรมการมรดกโลกกำหนด
* แย้มรู้ตัวคนปล่อยข่าวทุบหุ้น
จากนั้นได้พิจารณากระทู้ถามด่วนเรื่องปัญหาการปล่อยข่าวทุบหุ้นในตลาด หลักทรัพย์ ซึ่งมีขบวนการที่เกี่ยวข้อง 4 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มซ้ายไร้เดียงสาที่ยังหลงยุคกับทฤษฎีมาร์คซิสต์ 2. กลุ่มตุลาฯอกหักที่ยังเคียดแค้นสถาบัน 3. กลุ่มที่จ้องดิสเครดิตรัฐบาล และ 4. กลุ่มหิวเงินที่ต้องการทุนในการเลือกตั้ง ที่มีเสี่ย ต. เสี่ย ป. เสี่ย ย. เสี่ย ว. เสี่ย ส. เสี่ย พ. และมาดามสีฟ้า
ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ตอบกระทู้แทนนายกฯ ว่า การปล่อยข่าวอัปมงคลออกมามีผลกระทบต่อการลงทุน ข้อเท็จจริงในกรณีนี้อาจใช้คำว่าละเลยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตนได้ตำหนิทั้ง 2 หน่วยงาน คือ ก.ล.ต. และ ตลท.แล้ว ส่วนขั้นตอนการตรวจสอบจะดำเนินการสอบที่มาของข่าวและผู้เผยแพร่ และดูว่าการซื้อขายใครได้ประโยชน์จากข่าวลือดังกล่าวหรือไม่ เบื้องต้นมีรายงานว่ามีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศดำเนินการเทขายมา 1 อาทิตย์ล่วงหน้า บางรายขายมากพิเศษ และในวันที่ข่าวลือปรากฏมีการซื้อกลับคืนในบัญชีเดียวกัน แต่ยังไม่ขอเปิดเผยชื่อ
* วิปเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ
วันเดียวกันนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปพรรคร่วมรัฐบาล แถลงว่า พรรคร่วมยังเห็นด้วยที่จะขับเคลื่อนให้คณะกรรมการยกร่างดำเนินการยกร่างแก้ไขเพิ่ม เติมรัฐธรรมนูญตามมติของที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย แม้ฝ่ายค้านจะไม่เห็นด้วย วิปรัฐบาลมีหน้าที่แสวงหาความร่วมมือการสร้างความสมานฉันท์ จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกัน
ประธานวิปรัฐบาลกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ วิปรัฐบาลมีความห่วงใยต่อสถาน การณ์ทางการเมือง ทั้งการประกาศชุมนุม ของกลุ่มเสื้อแดงในเดือน พ.ย.ข้อเสนอของพล.อ.ชวลิต และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่จะให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ จึงขอเรียกร้องให้ฝ่ายที่ดำเนินการเข้าสู่กระบวนการของระบบรัฐสภาในการแก้ปัญหา ต่อข้อถามว่าแสดงว่าจะ ไม่ชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ ประธานวิปรัฐบาลกล่าวว่า ทุกฝ่ายยังให้ความร่วมมือในระดับที่สามารถเดินหน้าไปได้
* “มาร์ค” ด้อยกว่า “แม้ว”
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต. สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คงต้องรอที่ประชุมวิปรัฐบาล เรื่องนี้หากฝ่ายค้าน มากลับไปกลับมาอย่างนี้ก็เดินลำบาก แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเรื่องใหญ่คือปากท้องชาวบ้าน หลังจากนี้นายกฯจะมีโปรแกรม เดินทางออกต่างจังหวัดมากขึ้น คนเสื้อ แดงในต่างจังหวัดก็อาจจะเคลื่อนไหวมากขึ้นด้วย ซึ่งพื้นที่ที่จะจัดให้นายกฯลงไปคือภาคเหนือ 2-3 จังหวัด จากนั้นก็เป็นภาคกลาง ภาคใต้ตามลำดับ
ส่วนกระแสข่าวการปรับ ครม.ภายในพรรคนั้น นายสาทิตย์กล่าวว่า ไม่เคยได้ยิน ส่วนใหญ่เป็นข่าวซุบซิบมากกว่า เพราะอำนาจทุกอย่างอยู่ที่นายกฯ เมื่อถามถึงสวน ดุสิตโพลที่ระบุว่าประชาชนไม่ค่อยพอใจผลงานของนายกฯ นายสาทิตย์กล่าวว่า เป็นการสะท้อนความเห็นที่เราต้องฟัง ส่วนคะแนนนิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณมีมากกว่านายอภิสิทธิ์นั้น คะแนนก็ขึ้นลงแต่ละช่วง แต่ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะมีคะแนนขึ้นอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังติดข้อกฎหมายอยู่ก็คงไม่สามารถมาลงเลือกตั้งได้
* ฟันธงแก้ รธน.เหลว
ที่พรรคเพื่อไทย มีการจัดเสวนา “ประชาธิปไตย-เอารัฐธรรมนูญปี 40 ฉบับประชาชนคืนมา” โดยนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ตนฟันธงว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ประเด็นจะไม่เกิดขึ้น เพราะพรรคประชาธิ ปัตย์ไม่เอาด้วยตั้งแต่แรก และงบฯประชามติกว่า 2,000 ล้านบาท ก็จะเสียเปล่า
นายจาตุรนต์ยังกล่าวถึงกรณีพล.อ. ชวลิตมีกำหนดเดินทางพบปะผู้นำประเทศเพื่อนบ้านว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ พล.อ.ชวลิตสามารถใช้ความสัมพันธ์อันดีส่วนตัวในการเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์พยายามที่จะไม่เข้าใจ และบิดเบือนเจตนาของ พล.อ.ชวลิต ปัญหาความขัดแย้งกับกัมพูชา ก็เกิดจากที่เอานายกษิต ภิรมย์มาเป็น รมว.การต่างประเทศ นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้พันธมิตรฯ ไปเคลื่อนไหวทวงคืนเขาพระวิหาร พระตะบอง ศรีโสภณ เสียมราฐ เชื่อว่าหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านจะดีขึ้น
* ตีนตบดักไล่นายกฯ
ส่วนการเมืองอื่น ๆ ที่วัดชัยชนะสงคราม กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอภิสิทธิ์พร้อม ครม. และข้าราชการสำนักนายกฯได้ร่วมในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน โดยมียอดเงินรวม 1,445,503 บาท ซึ่งระหว่างที่นายกฯและคณะประกอบพิธีอยู่ในพระอุโบสถ ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 10 คนมาส่งเสียงตะโกนโห่ไล่พร้อมชูตีนตบและในเวลาต่อมาได้มีกลุ่มคนเสื้อเหลืองที่ไม่พอใจกลุ่มคนเสื้อแดงที่ได้มารวมตัวกันประมาณ 20 คนออกมาชูมือตบและโห่ ไล่กลุ่มคนเสื้อแดง พร้อมทั้งชูป้ายให้กำลังใจนายกฯ
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ามาสกัดกั้นระหว่าง 2 กลุ่มเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกัน และเมื่อนายกฯเสร็จสิ้นภารกิจก็ได้เดินทางกลับ โดยใช้เส้นทางหลีกเลี่ยงกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย อย่างไรก็ตามการชุมนุมของทั้ง 2 กลุ่มไม่ได้เกิดเหตุรุนแรงหรือก่อความวุ่นวายแต่อย่างใด.