´กฎเหล็ก´ คุมสื่อห้าม ´รุม´นายกฯ

หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย


ได้พูดเป็นนัยกับคณะรัฐมนตรีในการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 5 ก.ย.นี้ว่า ารเมืองย่อมระงับด้วยการไม่การเมือง เมื่อเลือกตั้งกันแล้วบ้านเมืองจะได้กลับมาเข้าที่เข้าทาง ปัญหาต่างๆจะได้จบเสียที จะได้หมดเวรหมดกรรมกันซะที แต่อย่างไรก็ตามยังไม่มีท่าทีว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะวางมือทางการเมือง ตามที่กลุ่มนักวิชาการ บุคลากรทางสาธารณสุขและประชาชนออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องแต่อย่างใด

นายกฯทักษิณ เรียก ผบ.หารือด่วน


ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้ (6 ก.ย.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้เดินทางเข้าทำเนียบฯเพื่อบันทึกเทปโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงการเข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด(NAM Summit) ครั้งที่ 14 และการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 6 ที่ห้องโดมทองตึกไทยคู่ฟ้า กระทั่งเวลา 11.40 น. นายกฯได้เดินทางออกจากทำเนียบฯไปยังบ้านพิษณุโลก ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยยังคงใช้รถประจำตำแหน่ง 2 คัน วิ่งอยู่ในขบวนเดียวกันเหมือนทุกวัน โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรมและเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ตามเข้าไปหารือด้วย จากนั้นเวลา 13.20 น. พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.ทหารสูงสุด และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ได้ทยอยเข้าไปหารือ และทยอยกลับออกไปในเวลา 14.50 น.

เคลียร์ปัญหาภาคใต้และหารือโผทหาร


ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจาก ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ.เดินทางกลับไปไม่ถึง 15 นาที พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางออกจากบ้านพิษณุโลกไปยังโรงแรมดุสิตธานี เพื่อพักผ่อนเป็นการส่วนตัว ก่อนเดินทางกลับเข้าบ้านพักซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 อย่างไรก็ตาม บุคคลที่เดินทางเข้าไปหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณครั้งนี้ ไม่ได้ใช้รถนำขบวนวิ่งนำเข้าประตูหน้าบ้านพิษณุโลก เพื่อหลบไม่ให้ผู้สื่อข่าวรู้ รวมทั้งห้ามช่างภาพใช้บันไดปีนถ่ายภาพข้ามรั้วบ้านให้เห็นบรรยากาศภายใน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในการหารือระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณกับ ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ.ในครั้งนี้ ได้มีการหารือถึงแนวทางการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะอำนาจหน้าที่ของ ผบ.ทบ.ที่อาจมีการแก้ไขคำสั่ง ให้สามารถสั่งการ หน่วยปฏิบัติที่ทำงานในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ แทนที่จะเป็นแค่การประสานงานในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการให้เป็นไปตามนโยบายและยุทธศาสตร์เสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กบชต.) เท่านั้น นอกจากนี้ คาดว่าได้มีการหารือถึงการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2550 ในเดือน ต.ค.นี้ด้วย

ธรรมรักษ์ เรียกเหล่าทัพถกโผทหาร


วันเดียวกัน ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.กลาโหม ได้เชิญคณะกรรมการพิจารณาโยกย้ายข้าราชการของกระทรวงกลาโหม มาประชุมหารือถึงการจัดทำบัญชีรายชื่อนายทหารประจำปี 2549 เป็นครั้งสุดท้าย โดยคณะกรรมการเข้าประชุมประกอบด้วย พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ ปลัดกลาโหม พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. และ พล.อ.อภิชัย ไวรักษ์สัตว์ เจ้ากรมเสมียนตรา ในฐานะเลขานุการ โดย พล.อ.เรืองโรจน์ ได้กล่าวภายหลังการประชุมว่า ทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว โดยเฉพาะตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมไม่มีปัญหา ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผู้บัญชาการแต่ละเหล่าทัพเสนอมา ทุกคนไม่มีปัญหา ทั้งนี้ คาดว่า รมว.กลาโหม จะนำเรียนนายกฯภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ไม่รู้สึกหนักใจกับการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารครั้งนี้ เพราะไม่มีอะไรที่ต้องหนักใจหรือมีเรื่องที่ต้องมาถกเถียงกัน การจัดทำบัญชีครั้งนี้ไม่ต้องมีการปรับแก้แต่อย่างใด เมื่อถามว่าตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมใช่ชื่อที่ท่านเสนอไปหรือไม่ พล.อ.เรืองโรจน์ตอบว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ใครเสนอหรือไม่ ตนไม่รู้ แต่เป็นไปตามโผที่ว่ากันไว้ทั้งหมด สรุปว่าทุกอย่างจบลงแล้วทุกตำแหน่ง ไม่มีปัญหา บอกว่าทุกอย่างจบ เรียบร้อยไม่มีปัญหา ไม่ใช่อย่างที่ต้องการ ไม่ว่าใครต้องการก็ไม่ใช่เป็นของส่วนรวม ไม่ได้เสนออะไรทั้งนั้น

ผบ.ทหารสูงสุดยันไม่มีการเมืองมาล้วงลูก


เมื่อถามย้ำว่ารายชื่อที่หารือกันในวันนี้เป็นรายชื่อที่ทุกคนยอมรับใช่หรือไม่ พล.อ.เรืองโรจน์ตอบว่า ต้องยอม เพราะเป็นผู้นำหน่วยราชการระดับสูง ทั้งนี้ยืนยันว่าการเมืองไม่ได้ขออะไรมาทั้งนั้น ทุกคนมีอิสระเสรีในการพิจารณา สบายใจได้ ผู้บัญชาการทุกคนไม่ได้ถูกบีบบังคับให้ตำแหน่งโน้นตำแหน่งนี้ไม่มี เมื่อถามว่าหลายฝ่ายเกรงว่านายทหารรุ่น 10 จะขยับตำแหน่งขึ้นหลายตำแหน่ง พล.อ.เรืองโรจน์ตอบว่า ตามวิถีทางของการ รับราชการของทุกคนทุกรุ่น เมื่อเขาจ่อเขาก็ต้องขึ้นเป็นไปตามนั้น ทั้งนี้ในตำแหน่ง ผบ.ทบ.ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ตำแหน่ง ผบ.ทหารสูงสุดเปลี่ยนแน่นอน อย่างไรก็ตามการประชุมในวันนี้หารือแต่เรื่องการโยกย้ายนายทหารเท่านั้น ไม่มีการพิจารณาเรื่องอื่นแต่อย่างใด

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. กล่าวว่า ผลการเข้าประชุมคณะกรรมการพิจารณาการปรับย้ายข้าราชการของกระทรวงกลาโหมเรียบร้อยดี

พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร.กล่าวว่า การพิจารณาในวันนี้ไม่มีปัญหา ทะเลเรียบ เมื่อถามว่าแสดงว่าในส่วนของกองทัพเรือไม่มีคลื่น พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ กล่าวว่า ใช่

ทำเนียบฯออกกฎเหล็กคุมเข้มสื่อ


ด้าน พล.ต.ต.พีรพันธุ์ เปรมภูติ ปลัดสำนักนายกฯ กล่าวถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในทำเนียบรัฐบาลว่า ช่วงนี้ต้องขออภัยในความไม่สะดวกแก่ข้าราชการ สื่อมวลชนและประชาชน ที่มาติดต่อราชการ ในช่วงนี้ เนื่องจากมีการวางมาตรการตรวจสอบบุคคล รถยนต์และสิ่งของ ที่เข้ามาในทำเนียบรัฐบาลอย่างละเอียด จึงขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติงานด้วย ส่วนมาตรการควบคุมสื่อมวลชนในการสัมภาษณ์นายกฯ เนื่องจากเวลาสื่อมวลชนสัมภาษณ์นายกฯ จะเข้าไปรุมกันเป็นจำนวนมาก มีการดันกันไปมาเหยียบเท้ากัน บางทีไปเหยียบสายกล้องทีวี อาจทำให้กล้องทีวีซึ่งมีราคาเป็นล้านบาทหล่นมาได้รับความเสียหายได้ จึงต้องจัดระเบียบการให้สัมภาษณ์ ต่อไปสื่อมวลชนคงไม่สามารถมารุมล้อมสัมภาษณ์นายกฯได้ เพราะภาพที่ออกไปมันไม่ดี ถ้ามีการจัดระเบียบทุกคนจะได้ภาพเหมือนกันหมด ไม่ต้องดันหรือเบียดกัน มาตรการจัดระเบียบการให้ สัมภาษณ์นี้จะทำตลอดไปกับ ครม.ทุกคน ไม่ใช่เฉพาะนายกฯ และไม่เกี่ยวกับเรื่องที่นายกฯถูกวางแผนลอบสังหารในช่วงนี้ รวมถึงจะเพิ่มความเข้มงวดเรื่องการแต่งกายของสื่อมวลชน เพื่อเป็นการเคารพสถานที่

ใช้มาตรการความปลอดภัยชั้นสูง


พล.ต.ต.พีรพันธุ์กล่าวว่า มาตรการที่นำมาใช้รักษาความปลอดภัยในทำเนียบรัฐบาลขณะนี้ ถือเป็นมาตรการขั้นต่ำยังไม่เข้มพอ ต่อไปจะพยายามหามาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงยิ่งขึ้นไปอีก โดยจะฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ตำรวจในทำเนียบรัฐบาล ที่ยังไม่เคยผ่านการอบรมเรื่องการปฏิบัติงานในการรักษาความปลอดภัย การตรวจสอบบุคคล ยานพาหนะและสิ่งของ มาอบรมเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัย และส่งไปดูงานในหน่วยงานที่มีความเข้มงวดเรื่องการรักษาความปลอดภัย การเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดช่วงนี้ เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยเดิมที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่ได้นำมาปฏิบัติอย่างเข้มงวด ไม่ได้เพิ่งมาทำในช่วงที่นายกฯถูกวางแผนลอบสังหาร แต่เริ่มตั้งแต่ช่วงที่มารับตำแหน่งปลัดสำนักนายกฯ และมาตรการรักษาความปลอดภัยดังกล่าว นายกฯไม่ได้เป็นคนสั่งให้จัดระเบียบใหม่แต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต่อไปจะอนุญาตให้กลุ่มประชาชนที่มาสนับสนุนให้กำลังใจนายกฯ เข้ามาในทำเนียบรัฐบาลพบนายกฯได้หรือไม่ พล.ต.ต.พีรพันธุ์ตอบว่า คงต้องขึ้นอยู่กับหน่วยรักษาความปลอดภัยของนายกฯจะอนุญาตหรือไม่

กองงานโฆษกออกกฎเหล็กคุมสื่อฯ


ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า วันเดียวกัน ฝ่ายสื่อมวลชน สำนักโฆษกประจำสำนักนายกฯ ได้ออกหนังสือเวียนแจ้งต่อสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล เรื่องการปฏิบัติตัวในการเข้ามาทำข่าวในทำเนียบฯ โดยระบุว่า ขอให้สื่อมวลชนที่ไม่มีบัตรผ่านเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาล และได้แจ้งรายชื่อพร้อมการรับรองจากต้นสังกัดแล้ว ให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ในวันอังคารซึ่งเป็นวันประชุม ครม. ให้นำบัตรประชาชนหรือใบอนุญาตขับขี่ มาแลกบัตรแสดงตนชั่วคราวสีชมพู จากเจ้าหน้าที่ตำรวจประตู 1 ที่อยู่ด้านสะพานชมัยมรุเชษฐ์ 2. ในวันอื่นๆที่ไม่ใช่วันประชุม ครม. ให้แลกบัตรแสดงตนชั่วคราวสีฟ้า จากเจ้าหน้าที่ตำรวจประตู 1 ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ย.นี้เป็นต้นไป

สนธิ ยื่นหนังสือเปิดผนึกถึง ป๋า


เช้าวันเดียวกัน ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยสมาชิกเครือข่ายกว่า 20 คน ได้เดินทางไปยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อให้รับทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชนอันเกิดจากความเลวร้ายของระบอบทักษิณ โดยมี พล.ร.ท.พะจุณณ์ ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ออกมารับหนังสือแทน ทั้งนี้ นายสนธิกล่าวว่า สาเหตุที่เดินทางมาในครั้งนี้ เพราะทนไม่ไหวกับสภาพของบ้านเมืองภายใต้ระบอบทักษิณ ที่ทำให้บ้านเมืองมีแต่ความแตกแยกอย่างที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมาสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกค้ำจุนอย่างเข้มแข็งด้วยทหารและประชาชน แต่เวลานี้ภาคประชาชนถูกปลุกปั่นด้วยอามิสสินจ้าง และวิทยุชุมชนแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้เกิดความแตกแยก มีการบริหารประเทศผิดพลาด ด้วยการสร้างกระบวนการใหม่ซ้อนองค์กรตรวจสอบตามกฎหมาย ทำให้กระบวนการตรวจสอบตามปกติไม่สามารถทำได้ ไม่ว่ากรณีบริษัทกุหลาบแก้วที่มีนอมินีของต่างชาติ หรือกรณีการตรวจสอบการเสียภาษีจากหุ้นชินคอร์ปของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)

ให้ ทักษิณ ออกจากการเมืองไทย


เมื่อกระบวนการไม่สามารถตรวจสอบได้ ประเทศชาติก็ไม่สามารถพึ่งพาอะไรได้อีก ล่าสุด มีการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร เพื่อให้เป็นของระบอบทักษิณ มีการยกผลประโยชน์ให้ต่างชาติ มีการยกส่วนหนึ่งของเกาะกูดให้กับเขมร ยกส่วนหนึ่งของหมู่บ้านร่มเกล้าให้กับลาว ถึงที่สุดแล้วสังคมไทยต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณออกจากการเมืองโดยเด็ดขาด เพราะถ้ายังอยู่บ้านเมืองต้องนองเลือดแน่นอน ประเทศแบ่งฝ่าย แบ่งเป็นภาคไม่มีทางสงบสุข ทุกวันนี้ศาสนาเป็นของระบอบทักษิณ ทหารก็เป็นของระบอบทักษิณ ประเทศชาติก็จะเป็นของระบอบทักษิณด้วย แผ่นดินไทยจะไม่ใช่ของประชาชนอีกต่อไปแล้ว ผมได้ขอประชามติประชาชนที่ร่วมชุมนุม ดังนั้น จึงต้องเดินทางมายื่นหนังสือถึง พล.อ.เปรมให้ได้รับทราบเพราะบ้านเมืองเป็นแบบนี้ ทนไม่ไหวแล้ว ทนไม่ไหวจริงๆ นายสนธิกล่าว

เรียกร้องพันธมิตรฯเคารพกฎหมาย


พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ. เปรม เพื่อให้หยุดระบอบทักษิณนั้น ไม่ทราบเจตนาของกลุ่มพันธมิตรฯว่า เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น และปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นถึงความเหมาะสมในการกระทำดังกล่าว ส่วนการวางระเบิดปลอมที่หน้าอาคารรัฐสภาว่า จากนี้ไปจะมีเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเจ้าหน้าที่จะต้องเฝ้าระวัง ขณะที่ประชาชนควรแจ้งเบาะแส หากพบสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลายหลังมี กกต.แล้ว ส่วนสถานการณ์ต่างๆจะมีความรุนแรงขึ้นอีกหรือไม่นั้น อยู่ที่เจตนาของแต่ละฝ่ายว่าคิดอย่างไร เชื่อว่าปัญหานายกฯจะประกาศเว้นวรรคทางการเมืองหรือไม่ จะไม่เกี่ยวกับการสร้างสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เพราะการกระทำที่ผ่านมาเกิดจากคนที่ไม่หวังดีต่อประเทศ ชาติ และไม่เชื่อว่าจะเป็นการกระทำของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลที่ต่อต้านรัฐบาล หากสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ เชื่อว่าจะสามารถยุติสถานการณ์ต่างๆได้ อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ไทยด้านเศรษฐกิจ เพราะถือว่าเศรษฐกิจของไทยยังดีอยู่ แม้จะมีความวุ่นวายทางการเมือง

ทรท.ประณามการกระทำของ สนธิ


ที่พรรคไทยรักไทย ทีมกองโฆษกพรรคไทยรักไทยและคณะทำงานด้านกฎหมายและติดตามสถานการณ์ การเมือง ได้ประชุมร่วมกันโดยมีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นประธาน ภายหลังการประชุม ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง คณะทำงานด้านกฎหมายฯ กล่าวว่า ที่ประชุมได้หารือถึงกรณีที่นายสนธิเข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อ พล.อ.เปรม เพื่อให้หยุดระบอบทักษิณ โดยเห็นว่าการกระทำของนายสนธิถือว่าไม่ เหมาะสมอย่างยิ่ง ขาดจริยธรรม คุณธรรมอย่างมาก สมควรถูกประณามและถูกตำหนิ อีกทั้งยังทำให้ประธานองคมนตรีต้องหนักใจ พยายามเอาท่านมาเป็นพวก นายสนธิจงใจยื่นหนังสือกระทบชิ่งนายกฯ ทั้งที่ไม่มีกฎหมายและธรรมเนียมรองรับ พยายามเสแสร้งแกล้งทำทั้งที่ตัวเองรู้ดี ที่ร้ายกว่านั้นคือการกระทำดังกล่าวจะทำให้คนเข้าใจผิดต่อบทบาทหน้าที่ของท่าน ทั้งๆที่ท่านไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนี้ ยังทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในการยื่นเรื่องร้องเรียน เพราะตามช่องทางในรัฐธรรมนูญสามารถยื่นเรื่องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาได้ แต่นายสนธิกลับไม่ดำเนินการ จึงมองว่าเป็นการทำเพื่อสร้างอำนาจเทียมให้ตัวเอง เป็นการบิดเบือน ทำลายระบบของบ้านเมือง

เป็นยุทธวิธียืมมือ ป๋าเปรม ชนนายกฯ


นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า การไปยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.เปรมครั้งนี้ ถือเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งที่จะดึง พล.อ.เปรมมาชนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ สมควรถูกประณาม ในจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวมีข้อความหมิ่นประมาทใส่ร้ายอย่างรุนแรง น่าเกลียดอย่างมาก ไม่ทราบว่าแกนนำพันธมิตรคนอื่นๆหายไปไหน ทำไมมีนายสนธิเพียงคนเดียวที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ อยากให้ชี้แจงว่าเป็นการดำเนินการของนายสนธิคนเดียวใช่หรือไม่ และเท่าที่ดูข้อความในจดหมายแทบทุกบรรทัดพยายามอ้างอิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ตัวเองถูกดำเนินคดีหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพมากที่สุดในประเทศไทย ส่วนตัวมองว่าการออกมาเคลื่อนไหวของนายสนธิมีเจตนาเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น เพราะรู้ว่าหากปล่อยให้มีการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า พล.อ.เปรมคงไม่เออออห่อหมกไปกับนายสนธิอย่างแน่นอน

ทักษิณ สั่งทนายยื่นฟ้องวันศุกร์นี้


นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล คณะทำงานด้านกฎหมายและติดตามสถานการณ์การเมือง พรรคไทยรักไทยกล่าวว่า กรณีการทำจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.เปรมของนายสนธินั้น เนื้อหาสาระเป็นการจงใจและมีเจตนาทำให้พรรคไทยรักไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเสียหาย โดยนายกฯได้สั่งการให้ทนายไปแจ้งความและฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายสนธิในนามส่วนตัวในวันศุกร์ที่ 8 ก.ย.นี้ ในส่วนของการปราศรัยบนเวทีที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของนายสนธิและกลุ่มพันธมิตรนั้น พรรคพิจารณาแล้วเห็นว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีการเลือกตั้ง การปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรเข้าองค์ประกอบผิดกฎหมายการเลือกตั้งส.ส. และ ส.ว.มาตรา 44 (5) หลอกลวง และใส่ร้ายป้ายสีด้วยข้อความอันเป็นเท็จ พรรคกำลังดำเนินการรวบรวมหลักฐานเพื่อฟ้องร้องอยู่ และจำเป็นจะต้องฟ้องต่อไปอีก ถ้ามีการพาดพิงให้เสียหายไม่ว่าเวทีใดก็ตามจะฟ้องทั้งหมด ในเบื้องต้นพรรคจะร้องขอให้ทางรองเลขาธิการกกต.ดำเนินคดีก่อน ถ้าหากไม่ดำเนินการเราคงต้องไปฟ้องร้องด้วยตัวเอง ทั้งนี้ถ้านายสนธิยังทำผิดซ้ำๆอีก ก็อาจจะยื่นต่อศาลเพื่อขอให้ระงับการกระทำการของนายสนธิต่อไป

เตือนพันธมิตรฯอย่าแตะต้อง เนวิน


นายโสภณ เพชรสว่าง อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเปิดปราศรัยใหญ่ที่ จ.บุรีรัมย์ ว่า อดีต ส.ส.บุรีรัมย์ทุกคนได้คุยกันแล้วเห็นว่า หากกลุ่มพันธมิตรฯเดินทางไปชี้แจงให้ข้อมูลกับประชาชน คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะเรามองว่ากลุ่มพันธมิตรฯเป็นเหมือนนอมินีหรือตัวแทนของพรรคฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะพูดหรือมองอย่างไรก็อยู่ตรงข้ามรัฐบาล ดังนั้นการเคลื่อนไหวต่างๆเพียงต้องการพยายามดิสเครดิตพรรคไทยรักไทย เพื่อหวังให้ฝ่ายค้านเดิมได้รับความนิยมมากขึ้น จึงไม่แปลกใจที่มุ่งมาที่ฐานความนิยมใน 3 จุดใหญ่ของพรรค และตอนนี้ชาวบ้านเริ่มเข้าใจแล้ว ทั้งนี้กลุ่มพันธมิตรฯจะไป จ.บุรีรัมย์ เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีปัญหา เพียงแต่ขอว่าอย่าพูดกล่าวหาหรือใส่ร้ายโดยไร้ข้อเท็จจริง สิ่งที่เป็นห่วงคือเกรงว่าจะมีการสร้างสถานการณ์ขึ้น เพื่อให้เกิดการปะทะกันจนเกิดความรุนแรง แล้วโยนความผิดไปให้คนของพรรคไทยรักไทย โดยขณะนี้เราได้กำชับห้ามปรามคนที่สนับสนุนไม่ให้เข้าไปยุ่งหรือขัดขวางใดๆ ปล่อยให้ กลุ่มพันธมิตรฯพูดไป เมื่อเราเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยก็ต้องทนฟัง แต่กลัวว่าจะไปพูดในเรื่องที่เกี่ยวกับนายเนวิน ชิดชอบ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย อาจทำให้คนไม่พอใจได้

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์