วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2549
กราบเรียน ฯพณฯ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
โดยฉันทามติของพี่น้องประชาชนชาวไทยผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และต้องการพิทักษ์รักษาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้ดำรงคงอยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป กระผมนายสนธิ ลิ้มทองกุล ขอกราบเรียนต่อ ฯพณฯ ดังต่อไปนี้
ขณะนี้สถานการณ์ของประเทศไทยทั่วทุกหนทุกแห่งตกอยู่ในภัยอันตรายอย่างร้ายแรง และ เป็นวิกฤตที่สุดในโลก โดยมีต้นเหตุมาจากระบอบทักษิณที่มักใหญ่ใฝ่สูง คิดการใหญ่ หวังยึดครองประเทศไทยเป็นของตน ทำให้ราชการบ้านเมืองวิปริตผันแปร เกิดเหตุเป็นอาเพศร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง อาณาประชาราษฎรเดือดร้อนทุกข์เข็ญทุกหย่อมหญ้า ซึ่งขอกราบเรียนสรุปในประการหลัก ๆ ดังนี้คือ
1 ระบอบทักษิณได้จุดชนวนไฟสงครามกลางเมืองขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการอุ้มฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเป็นจำนวนมาก โดยการขับไล่ไสส่งฝ่ายทหารให้พ้นจากหน้าที่ดูแลรักษาความมั่นคงปลอดภัย และให้ฝ่ายตำรวจเข้าทำหน้าที่แทน
สถานการณ์ทรุดหนักมาโดยลำดับ จนเกิดเป็นสภาพสงครามกลางเมืองอย่างเต็มรูปแบบในขณะนี้แล้ว และสถานการณ์โน้มไปในทางจะสูญเสียดินแดนเป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบัน ขณะนี้ประชาชนวงการต่าง ๆ มีฉันทามติแล้วว่าหากระบอบทักษิณยังอยู่ต่อไป ประเทศไทยจะต้องสูญเสียดินแดน 3-4 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน และอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศจะคุกคามภาคใต้ตอนบนและประเทศไทยเป็นส่วนรวมอีกด้วย
2 พี่น้องประชาชนชาวภาคใต้ถูกทอดทิ้งไม่เหลียวแล โดยมีข้อหาว่าไม่สนับสนุนเลือกผู้สมัครของพรรคไทยรักไทย ซึ่งเห็นประจักษ์ชัดแล้วว่าหนึ่งปีกว่ามานี้นายกรัฐมนตรีไม่เคยลงไปเหลียวแลพื้นที่ภาคใต้เลย แม้ถึงขนาดถูกอุทกภัยขนาดใหญ่ก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้มีการรับบริจาคเงินช่วยเหลือ ทำให้เกิดการแตกแยกและแบ่งแยกภาคใต้ออกจากประเทศไทย โดยระบอบทักษิณเป็นผู้ทำเสียเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดความรู้สึกสะเทือนใจต่อพี่น้องประชาชนภาคใต้โดยทั่วไป จึงเกิดกระแสความคิดที่ไม่ยอมรับการปกครองของรัฐบาล และต้องการจะปกครองกันเองมากขึ้นโดยลำดับ
การแบ่งแยกประชาชนและพื้นที่ของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่ถือเอาการสนับสนุนพรรคไทยรักไทยหรือไม่ เป็นอันตรายต่อความเป็นชาติและขัดต่อรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรเดียวและแบ่งแยกมิได้อย่างชัดแจ้ง
นอกจากนั้นการที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยได้ปฏิบัติในลักษณะที่แตกต่างระหว่างพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน กับภาคอื่นๆ ของประเทศ เพราะถือว่าเป็นฐานเสียงสนับสนุนพรรคไทยรักไทยนั้นได้ซ้ำเติมความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวให้มีลักษณะแบ่งแยกมากยิ่งขึ้น ดังเช่นคำกล่าวของอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทยหลายคนที่ประกาศว่าคนภาคอีสานเป็นผู้ตั้งรัฐบาล หรือรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลของคนภาคอึสาน
นับแต่อดีตเป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงอนาทรต่อพสกนิกรของพระองค์ทั่วประเทศ รวมทั้งพื้นที่ภาคใต้ด้วย แต่ละปีทรงเสด็จแปรพระราชฐานไปเป็นมิ่งขวัญให้กับพสกนิกรในพื้นที่นั้นโดยไม่เคยคำนึงถึงความยากลำบากใด ๆ เลย
ในระยะ 3 ปีมานี้ในขณะที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยทอดทิ้งภาคใต้แล้วนั้น ทุกพระองค์ก็ยังทรงห่วงใยพสกนิกรในพื้นที่ภาคใต้ตลอดมา ล่าสุดเมื่อครั้งที่นายทหารยศพันเอกแห่งกองทัพไทยถูกซุ่มโจมตีจนเสียชีวิต สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ก็ได้เสด็จไปในการศพ ซึ่งเป็นเกียรติยศใหญ่หลวงแก่ทหาร ในขณะที่นายกรัฐมนตรีไม่ใส่ใจ กลับไปตีกอล์ฟในท่ามกลางการอารักขาของตำรวจนับพันคน มิหนำซ้ำสมุนบริวารในรัฐบาลยังเหยียดหยามนายทหารผู้ตายว่าประมาทจึงต้องถึงแก่ความตาย ซึ่งสร้างความชอกช้ำระกำใจให้แก่เหล่าทหารซึ่งพลีชีพเพื่อชาติและปฏิบัติราชการด้วยความเสียสละ ทั้ง ๆ ที่ผู้ก่อเหตุนั้นต่างหนีขึ้นมาก่อสถานการณ์ความขัดแย้งในชาติอยู่ที่กรุงเทพมหานครอย่างสุขสบาย จึงทำลายขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารอย่างร้ายแรง
เหตุการณ์ยังลุกลามบานปลายไปถึงขั้นที่มีการจัดตั้งกองกำลังประชาชนเพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองของพรรคการเมือง อันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญเพราะเป็นการจัดตั้งกองทัพส่วนตัว มีลักษณะเป็นกองทัพเถื่อน และยังใช้หน่วยงานของรัฐบางหน่วยติดอาวุธสงครามเพื่อใช้เป็นกองกำลังในการต่อสู้กับประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลอีกด้วย
หลักฐานพยานชัดเจนจากคำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่าให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกเขตเลือกตั้งเตรียมคนไว้เขตละ 3,000 คน ถ้าเป่านกหวีดก็ให้พาคนเข้ามากรุงเทพมหานครทันที ซึ่งทำให้ประชาชนโดยทั่วไปไม่สบายใจ เพราะเห็นได้ว่านี่คือการตั้งกองกำลังประชาชนเพื่อเตรียมทำสงครามประชาชนหรือสงครามกลางเมือง และได้ใช้วิธีการนี้ข่มขู่คุกคามพรรคการเมืองอื่นอย่างโจ่งแจ้งอีกด้วย
3 ระบอบทักษิณได้ใช้อำนาจรัฐฉ้อราษฎร์บังหลวงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย จนได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่ขายชาติ ปล้นชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ทุจริตเชิงนโยบาย โกงทั้งโคตร โคตรโกง ทำให้สมาชิกรัฐสภากลายเป็นทาส ครอบงำองค์กรอิสระจนกลายเป็นองค์กรทาส จนหน่วยงานอิสระถึงสองหน่วยถูกศาลพิพากษาว่ากระทำความผิดและจำคุกและการปล้นชาติในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจบางแห่งถูกศาลพิพากษาว่าผิดกฎหมายและเพิกถอนไปแล้ว พฤติกรรมโดยรวมจึงเป็นการเข้ายึดครองประเทศไทย ระบอบเศรษฐกิจของประเทศไทย กลไกการปกครองของประเทศ ตลอดจน ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ สมาชิกรัฐสภา และองค์กรอิสระ เพื่อเป็นสมบัติของตน
ได้ใช้ผลประโยชน์ของรัฐในการบำรุงบำเรอซื้อหาจ้างวานบุคลากรเข้ามาเป็นเครือข่ายปฏิบัติงานให้อย่างเป็นขบวนการ และกระทำการที่ชัดเจนขึ้นทุกวันในลักษณะที่ถือว่าประเทศไทยเป็นสมบัติของตน และถือเอาผู้คนที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์เป็นศัตรูและข่มเหงรังแกทำร้ายทำลายด้วยสารพัดวิธี
4 ปัจจุบันนี้สถาบันศาลและกองทัพไทยเป็นสถาบันหลักที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไว้วางพระราชหฤทัย และประชาชนชาวไทยต่างมุ่งหวังเป็นที่พึ่งในการแก้ไขปัญหาชาติ โดยเฉพาะหวังพึ่งว่าจะช่วยป้องกันรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ให้ถูกระบอบทักษิณยึดครองเป็นของตน แต่ทว่าการขยับขยายเพื่อยึดครองทั้งสองสถาบันนี้ยังคงเดินหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง
กองทัพไทยเป็นกองทัพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นจอมทัพไทย ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเหล่าทหารเพื่อให้ทำหน้าที่ปกปักรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ รักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ พระมหากษัตริย์ และประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีมีหน้าที่เพียงแค่การรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งมีฐานะประหนึ่งแค่นายไปรษณีย์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 231 เท่านั้น
เพราะเหตุเช่นนี้ การแต่งตั้งโยกย้ายเหล่าทหารจึงต้องอยู่บนหลักการเพื่อปกปักรักษาคุ้มครองความปลอดภัยของประเทศชาติ พระมหากษัตริย์ และประชาชนเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยของชาติ ไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ปรากฏว่ากระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี 2549 ซึ่งสื่อมวลชนได้ทราบและเสนอข่าวเหมือนกันทุกสำนักว่ามีการสั่งการให้มีการจัดโผ รื้อโผกันใหม่ โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักการแต่งตั้งนายทหารตามรัฐธรรมนูญ และธรรมเนียมประเพณีของกองทัพ
การล้วงลูกเพื่อจัดวางคนของระบอบทักษิณเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในหน่วยงานของทหารทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมและไม่เป็นไปตามหลักในการแต่งตั้งบุคคลตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวทางไว้ คือ ให้สนับสนุนคนดีให้มีอำนาจ และกำจัดคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ
ปรากฏว่ามีการผลักดันเอารุ่นและพวกพ้องของระบอบทักษิณเพื่อให้เข้าดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในหน่วยงานของกองทัพ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่จะทำให้กองทัพไทยเป็นกองทัพส่วนตัวของระบอบทักษิณ
ดังนั้นความไม่เป็นธรรมที่รุนแรงถึงขีดสุดจึงทำให้เดือดร้อนแก่เหล่าทหารโดยทั่วไป จนกระทั่งจเรทหาร ปลัดกระทรวงกลาโหม รวมทั้งนายทหารระดับนายพลได้ยอมสละตนเองทักท้วงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ในขณะที่นายทหารทั่วทั้งกองทัพที่ไม่ใช่ข้าทาสของระบอบทักษิณต่างพากันเคลื่อนไหวภายใต้ระเบียบวินัยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ซึ่งขณะนี้ปรากฏว่าบรรดานายทหารที่ยอมพลีเพื่อความเป็นธรรมและความถูกต้องของกองทัพกลับถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม
ดังนั้นจึงขอกราบเรียนต่อ ฯพณฯ ได้โปรดรับทราบความเดือดร้อนของอาณาประชาราษฎรทั้งแผ่นดิน ตลอดจนบรรดาข้าทหารที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอได้โปรดบำบัดความทุกข์ร้อนของแผ่นดินและอาณาประชาราษฎรในครั้งนี้ด้วย
ขอ ฯพณฯ ในฐานะประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษอาวุโสได้โปรดนำความดังกล่าวขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง อย่าให้ระบอบทักษิณยึดกองทัพไทยไปเป็นสมบัติส่วนตน อันจะมีผลต่อการล้มล้างสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จนหมดสิ้น ขอพระบารมีเป็นที่พึ่งได้โปรดดำรงรักษากองทัพไทยให้เป็นกองทัพของชาติและของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดไปชั่วกัลปาวสาน เพื่อความดำรงคงอยู่ของประเทศชาติไทย ของพระบรมราชจักรีวงศ์ และความสมบูรณ์พูนสุขของอาณาประชาราษฎรถ้วนหน้ากัน
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
(นายสนธิ ลิ้มทองกุล)
ในฐานะตัวแทนภาคประชาชน
ผู้ภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
แหล่งข่าว: เดลินิวส์