สมคิดยังอุบไต๋ท่าที่เว้นวรรค

ที่กระทรวงพาณิชย์ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. พาณิชย์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า จะเว้นวรรคทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า ตนไม่มีหน้าที่ตอบหรือแถลง ข่าวใดๆ แหล่งข่าวคนใดให้ข่าวก็ให้ไปถามคนนั้น แต่การที่ให้ข่าวลักษณะเช่นนี้ ควรลงชื่อผู้ที่เป็นแหล่งข่าวด้วย เพื่อจะได้ทราบว่าใครคิดอะไร ต้องการอะไร


ขณะที่คนใกล้ชิดนายสมคิดกล่าวว่า นักข่าวไม่น่าเชื่อแหล่งข่าวเช่นนี้ หากเก่งจริงก็น่าจะยอมเปิดเผยชื่อจริงไปเลย

ด้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.แรงงาน รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แกนนำกลุ่มวังน้ำยม ให้สัมภาษณ์ ถึงกระแสข่าวดังกล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าข่าวนี้นายสมคิดเป็นคนพูดเองหรือไม่ แต่กลุ่มวังน้ำยมขอยืนยันแนวคิดเดิมคือ สนับสนุนนายสมคิด หาก พ.ต.ท.ทักษิณเว้นวรรคทางการเมือง การจะให้นายสมคิดรับตำแหน่งนายกฯไม่ใช่เรื่องยาก ขอให้คนไปสนับสนุนรวมตัวกันมากๆ นายสมคิดจะใจดำเชียวหรือ


ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้สมาชิกในกลุ่มวังน้ำยมมีการเคลื่อนไหวต่อรองกับกลุ่มที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณยุติบทบาททางการเมืองจะต้องไม่มีการยึดทรัพย์ย้อนหลังใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า คงไม่มีใครไปเจรจาอย่างนั้นได้ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหากันเอง กลุ่มวังน้ำยมคงไม่มีอำนาจไปทำอย่างนั้น


นายปองพล อดิเรกสาร รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องนายสมคิดจะเลิกเล่นการเมือง แต่การจัดลำดับของนายสมคิดในการลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและการตกลงระหว่างนายสมคิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ

ส่วนความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.10 น. พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางไปทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดรักษาความปลอดภัยยังคงจัดขบวนรถให้มีรถประจำตำแหน่งนายกฯ 2 คัน วิ่งอยู่ในขบวนเพื่ออำพรางตัวเหมือนเดิม ทั้งนี้ ในช่วงสาย พ.ต.ท.ทักษิณได้เรียกนายวิเศษ จูภิบาล รมว.พลังงาน และนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ รองนายกรัฐมนตรี เข้าหารือตามลำดับ และกินข้าวเที่ยงภายในทำเนียบรัฐบาล จากนั้นในช่วงบ่ายได้มีการประชุมผลการปฏิบัติงานแก้ปัญหายาเสพติด ร่วมกับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แล้วนั่งทำงานต่อที่ห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า จนกระทั่งเวลา 18.30 น. จึงเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาล กลับบ้านซอยจรัญสนิทวงศ์ 69

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคชาติไทยเสนอให้ทุกพรรคการเมืองร่วมลงสัตยาบันปฏิรูปการเมือง เพื่อเป็นสัญญาประชาคมว่าจะร่วมกันผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน 1 ปีหรือ 1 ปีครึ่งว่า พรรคไทยรักไทยเห็นด้วยและพร้อมร่วมลงสัตยาบัน เพราะได้เตรียมการเรื่องการปฏิรูปการเมืองไว้แล้ว อย่างไรก็ตามไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นักวิชาการอิสระ ที่ให้กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และ ส.ส. แต่เห็นด้วยกับนายโคทม อารียา ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 313 ที่ผ่านมาทางพรรคเคยเสนอเรื่องนี้ไปแล้วว่าจะให้คนกลางจากหลากหลายสาขาอาชีพมาร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นายจตุพร พรหมพันธ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่ น.พ.ประเวศ วะสี นักวิชาการชื่อดัง กล่าวปาฐกถาสาธารณะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยแนะนำคุณสมบัติ 10 ข้อที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปควรกระทำว่า ไม่ขอแสดงความเห็นแย้ง 10 ประเด็นตามที่ น.พ.ประเวศเสนอ แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่าเวทีสัมมนาดังกล่าวมีการเชิญนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ แกนนำเครือข่ายประชาสังคมหยุดระบอบทักษิณ และอีกหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับพรรคไทยรักไทยทั้งสิ้น แต่กลับไม่ได้เชิญพรรคไทยรักไทยไปร่วมงาน ดูแล้วเหมือนเป็นการเตี๊ยมกัน นอกจากนี้คำว่าต่อมจริยธรรมที่เรียกร้องกันหนักหนานั้น อยากรู้ว่ามาตรฐานอยู่ตรงไหนอย่างไร

นายบัญญัติ บรรทัดฐาน รองประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ข้อเสนอของพรรคชาติไทยที่เรียกร้องให้ทุกพรรคร่วมลงสัตยาบันปฏิรูปการเมืองว่า เรื่องนี้ไม่ต้องลงสัตยาบันกันแล้ว เพราะคงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันปิดช่องโหว่ที่ปล่อยให้คนประเภทอำนาจนิยมนำอำนาจไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งต้องพิจารณาว่าการถ่วงดุลอำนาจอยู่ตรงไหน หัวใจของระบอบประชาธิปไตยเดินไปข้างหน้าไม่ได้เพราะอะไร ก็ต้องมาดูกัน ดังนั้น คงไม่ต้องมีเจ้าภาพ เพราะทุกคนต้องทำเรื่องนี้กันอยู่แล้ว เพียงแต่ให้ช่วยกันเสนอนโยบายเพื่อให้ประชาชนรับรู้และได้พิจารณาเปรียบเทียบ

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นักวิชาการอิสระ เสนอให้กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และ ส.ส.ว่า ถ้าย้อนกลับไปดูอดีตและปัจจุบันจะเห็นว่า ปัญหาไม่ได้เกิดจากนักการเมืองที่อยู่นาน แต่เกิดจากนักการเมืองที่เข้ามาใหม่ ดังนั้น ความพอดีของเรื่องการอยู่ในตำแหน่งนาน เพราะกลัวจะเป็นการสร้างอาณาจักรหรือสะสมกำลังอำนาจนั้น ประเด็นนี้ต้องถกกันหลายส่วน และควรจะยกตัวอย่างเป็นกรณีมาเปรียบเทียบกัน และที่สำคัญคือการปฏิรูปการเมืองในวันข้างหน้าคงต้องทำอย่างจริงจัง และต้องนำปัญหาเหล่านี้มาพิจารณาด้วย รวมถึงเรื่องการปฏิรูปสื่อให้มีเสรีภาพ ควรจะมีองค์กรอิสระคุ้มครองสื่อ ดูแลการจัดสรรเวลาของสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ไม่ใช่ให้รัฐบาลผูกขาดอย่างเดียว

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ปัญหาวิกฤติการเมืองขณะนี้เกิดจากประชาชนไม่เชื่อถือผู้นำ ดังนั้น สิ่งที่นายกฯควรทำคือออกมายอมรับความผิดในสิ่งที่พูด ไม่ใช่ปัดสวะพ้นตัว เท่าที่ได้รวบรวมข้อมูลตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบันในเรื่องที่นายกฯบอกว่ารู้ทุกเรื่องทั้งหมด 8 เรื่อง อาทิ เหตุการณ์ลอบวางระเบิดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของการบินไทย นายกฯระบุทันทีว่า เป็นการก่อวินาศกรรม และรู้ว่ากลุ่มใดที่อยู่เบื้องหลัง การวางระเบิดสถานีรถไฟหาดใหญ่เมื่อเดือน เม.ย. 2544 ก็บอกว่าเป็นฝีมือพวกโจรห้าร้อยต้องการเรียกค่าคุ้มครอง การจับกุมหัวหน้ากลุ่มว้าแดง ราชาค้ายาเสพติดเมื่อเดือน มี.ค. 2546 ที่บอกว่ามีการลงขัน 80 ล้านบาท เพื่อสังหารนายกฯ หรือล่าสุดเหตุการณ์ระเบิดธนาคาร 22 จุดใน จ.ยะลา ก็ระบุว่าทราบล่วงหน้าเช่นกัน เหล่านี้คือการรวบรวมสุดยอดนายกฯรู้ทุกเรื่อง พฤติกรรมแบบนี้จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นในตัวนายกฯลดน้อยลง

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ