เนวินซื้อใจพ่อเมือง วางฐานเลือกตั้งใหญ่

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 15 กันยายน เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไฟเขียวการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ 10 ทั้งอธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย จำนวน 48 รายตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ

ภายใต้การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดของ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย

โดยการแต่งตั้งครั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่ได้การแต่งตั้งเป็นนักบริหารระดับสูง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสาย "สิงห์แดง" ที่จบจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ตำแหน่งที่ถูกจับตามากที่สุด คือ "นายไพรัตน์ สกลพันธุ์" อธิบดีกรมพัฒนาชุมชน ได้ขึ้นเป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นกรมใหญ่ มีงบประมาณปีละหลายแสนล้านบาท แทน "นายมานิต วัฒนเสน" คนสนิทของ "นายเนวิน ชิดชอบ" หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน ที่ได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยก่อนหน้านี้

ซึ่งตัวนายไพรัตน์ มีความสนิทสนมกับนายเนวิน เป็นอย่างดี เพราะเคยเป็นรองผู้ว่าฯบุรีรัมย์ถึง 5 ปี ซึ่งการส่งสัญญาณครั้งล่าสุดคือวันที่นายเนวินเดินทางไปประเทศอังกฤษ นายมานิตและนายไพรัตน์ได้ตามไปส่งถึงสนามบินสุวรรณภูมิ และในวันกลับจากประเทศอังกฤษ ทั้ง 2 คนต่างพากับมาพบนายเนวินที่พรรคภูมิใจไทยอย่างรวดเร็ว

นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าฯนครศรีธรรมราช หนึ่งในสิงห์แดงที่ขึ้นเป็นรองปลัดกระทรวง แม้จะได้เป็นผู้ว่าฯตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เนื่องจากรับราชการอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาโดยตลอดจึงได้สิทธิทวีคูณ และยังมีความใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ในสายทหารเป็นอย่างดี

นายขวัญชัย วงศ์นิติกร ผู้ว่าฯสมุทร ปราการ ที่ได้ขึ้นเป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และ นายสุรชัย ขันอาสา รองผู้ว่าฯสมุทรปราการ ขึ้นเป็นผู้ว่าฯสมุทรปราการแทน ซึ่งทั้ง 2 เป็นสิงห์แดงที่มีความสนิทสนมกับ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประธานคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย น้องชายนายเนวิน ที่มีเลือดสิงห์แดงเช่นกัน อีกทั้งนายสุรชัยยังเป็นหนึ่งในคณะทำงานของนายศักดิ์สยามด้วย

สำหรับ นายมงคล สุระสัจจะ ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ ที่ขึ้นเป็นอธิบดีกรมพัฒนาชุมชน แม้จะจบจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือสิงห์ทอง แต่มีความใกล้ชิดกับนายเนวินเป็นอย่างดี เพราะเคยเป็นรองผู้ว่าฯบุรีรัมย์ถึง 3 ปี

ด้านบรรดา "สิงห์ดำ" จบจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ครอบครองอำนาจในกระทรวงคลองหลอดมานาน ต่างชอกช้ำไปตามๆ กัน เพราะนอกจากไม่ได้โตตามสายงานแล้ว บางส่วนยังถูกนำมาดองเข้ากรุเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง อาทิ นายวีระยุทธ เอี่ยมอำภา ผู้ว่าฯสมุทรสาคร นายประชา เตรัตน์ ผู้ว่าฯสุราษฎร์ธานี น.ส.เรืองวรรณ บัวนุช ผู้ว่าฯพะเยา นายอธิคม สุพรรณพงศ์ ผู้ว่าฯหนองบัวลำภู นายชุมพร พลรักษ์ ผู้ว่าฯสิงห์บุรี และ นายวินัย บัวประดิษฐ์ ผู้ว่าฯชัยนาท

ในกรณีของนายชุมพรซึ่งยังมีความสนิทสนมกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เคยขึ้นเป็นอธิบดีกรมพัฒนาชุมชน ในยุคที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้วก็ถูกย้ายออกไปเป็นผู้ว่าฯสิงห์บุรีเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และล่าสุดก็ถูกเด้งเข้ากรุจนได้

การแต่งตั้งครั้งนี้นอกจากถูกมองว่าเป็นการล้างบางสิงห์ดำ และวางทายาทสิงห์แดงในตำแหน่งสำคัญๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการวางฐานไว้เพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ในระยะเวลาอันใกล้นี้

โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน เป็นที่น่าสังเกตว่าเดิมทีผู้ว่าฯใหม่หรือรองผู้ว่าฯที่ขึ้นชั้นเป็นผู้ว่าฯ ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วจะถูกวางตัวให้อยู่ในจังหวัดเล็กเพื่อเรียนรู้งานก่อนที่จะออกไปรับผิดชอบจังหวัดใหญ่ๆ แต่ในครั้งนี้ผู้ว่าฯใหม่จำนวนมากกลับได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นสู่จังหวัดใหญ่ทันที ไม่ว่าจะเป็น สมุทรปราการ บุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี กระบี่ และนครปฐม

ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวหาก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่าผู้ว่าฯใหม่เกือบ 20 คน มีข่าวว่าถูกเรียกรับเงินหัวละ 10-15 ล้านบาท เพื่อแลกกับตำแหน่ง

ซึ่งแหล่งข่าววงในใกล้ชิดกระทรวงออกมายืนยันว่า เป็นการปล่อยข่าว เพราะในงานเลี้ยงสังสรรค์ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ก่อนหน้าที่โผแต่งตั้งโยกย้ายจะเข้า นายเนวินที่ร่วมอยู่ในงานเลี้ยง ได้พูดกับบรรดาผู้ร่วมงานว่า "ผมไม่ได้จะเรียกรับเงินใคร ถ้ามีการต้องจ่ายเงินให้มาบอกผม ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครทำ ดังนั้นการที่ทุกคนได้ขึ้นเป็นผู้ว่าฯในครั้งนี้ ขอให้มาช่วยกันทำงาน ถ้าคุณเสียเงินซื้อตำแหน่ง ผมก็ไม่สามารถสั่งให้พวกคุณทำตามที่ผมบอกได้ เพราะถือว่าการซื้อขายจบแล้ว เราไม่มีบุญคุณต่อกัน"

การแต่งตั้งโยกย้ายในครั้งนี้ถือเป็นการวางหมากที่แยบยลของ "นายเนวิน" ที่ไม่มีผลประโยชน์ในรูปของตัวเลข แต่เป็นการซื้อใจบรรดาผู้ว่าฯที่ได้รับการแต่งตั้ง

เพราะการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงคือ "บุญคุณ" ที่บรรดาผู้ว่าฯเหล่านี้ต้องตอบแทนกลับคืนมา...