"หญิงอ้อ"เบิกความคดียึดทรัพย์แม้ว ยันขายหุ้นให้ "ลูกโอ๊ค-บรรณพจน์" มีการซื้อขายกันจริงไม่มีอำพราง ขายหุ้นให้แล้วจบ ไม่มีจ่ายเงินปันผลให้อีก หลังเลิก"แม้ว"ตกลงแบ่งสมบัติ แจงแม้วไม่มีทรัพย์ต่างประเทศ นัดไต่ครั้งต่อไป 17 ก.ย.เช้า เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 15 กันยายน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ต่อมาได้เปิดบริษัท แอดวานซ์อินโฟเซอร์วิส (เอไอเอส) บริษัทชินแซทเทิลไลท์ ทำธุรกิจโทรคมนาคมและโทรศัพท์เคลื่อนที่ และบริษัทต่างๆ และ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ถือหุ้นในบริษัทต่างๆ
นายสมศักดิ์ เนตรมัย ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน ไต่สวนพยานคดีที่อัยการสูงสุด ร้องขอให้ ทรัพย์สินจำนวน 76,000 ล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหา รวมทั้งบุคคลในครอบครัวและผู้ร้องค้าน ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ โดยขณะดำรงตำแหน่งใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ชินวัตร) ผู้คัดค้านที่ 1
เดินทางมาพร้อมกับ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรม โดยคุณหญิงพจมาน เบิกความสรุปว่า เริ่มธุรกิจกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายบรรณพจน์ ตั้งแต่ปี 2519 โดยทำกิจการเกี่ยวกับการขายภาพยนตร์ อพาร์ทเม้นท์ และให้หน่วยงานราชการเช่าคอมพิวเตอร์ จนมีทรัพย์สินประมาณ 100 ล้านบาท จึงก่อตั้งบริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ ประกอบกิจการด้านโทรคมนาคมประเภทโฟนลิงค์ จนกิจการเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปี 2530 พ.ต.ท.ทักษิณ จึงลาออกจากราชการตำรวจ มาทำธุรกิจอย่างเต็มตัวเนื่องจากพยานคนเดียวทำไม่ไหว
คุณหญิงพจมาน เบิกความว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 ได้โอนขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ หุ้นบริษัทชินแซทฯ มูลค่า 37 ล้านบาทเศษ หุ้นบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ไอเอฟซีที) มูลค่า 94 ล้านบาทเศษ และหุ้นธนาคารทหารไทย รวมมูลค่า 5,056 ล้านบาท ให้กับ นายพานทองแท้ บุตรชาย โดยนายพานทองแท้ ได้ทำตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อทวงถามแบบไม่มีดอกเบี้ย จำนวน 4 ฉบับ ประกันไว้ ซึ่งพยานได้บอกกับนายพานทองแท้ว่าไม่ต้องรีบชำระค่าหุ้น มีเงินเมื่อไรแล้วค่อยมาจ่าย โดยนายพานทองแท้ ผ่อนชำระเรื่อยมาจนกระทั่งวันที่ 26 มกราคม 2549 นายพานทองแท้จึงได้ชำระเงินครบถ้วน
หญิงอ้อเบิกความยันวินมาร์คเป็นของมหาเศรษฐีอาหรับ
นอกจากนี้พยานยังได้ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ มูลค่าประมาณ 450 ล้านบาท ให้กับ และนายบรรณพจน์ พี่ชายบุญธรรม
ซึ่งเป็นผู้ร่วมบุกเบิกทำธุรกิจมาด้วยกันซึ่งนายบรรณพจน์ ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 3 ฉบับให้ไว้เป็นประกัน โดยเริ่มผ่อนชำระตั้งแต่ปี 2546 และชำระครบถ้วนเมื่อประมาณปี 2547 ซึ่งตั๋วสัญญาดังกล่าวพยานได้ส่งให้พ.ต.ท.ทักษิณ ยื่นแสดงให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทราบด้วย พร้อมยืนยันว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าวมีการซื้อขายและชำระเงินจริง ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวหาว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินที่นายบรรณพจน์ออกให้พยานนั้นทำขึ้นมาที่หลังจากเกิดคดีนี้แล้วไม่เป็นความจริง ซึ่งนายบรรณพจน์ออกตั๋วสัญญาให้ตั้งแต่มีการซื้อขาย แต่ตั๋วใบเดิมได้หายไปจึงออกตั๋วสัญญาฉบับใหม่ให้พยาน ไม่ได้เป็นการอำพรางการซื้อขายแต่อย่างใด
คุณหญิงพจมานเบิกความต่อว่า หลังจากที่นายพานทองแท้ และนายบรรณพจน์ จ่ายเงินค่าซื้อหุ้นให้กับพยานครบถ้วนแล้วไม่เคยนำเงินปันผลผู้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ให้กับพยานอีก
และพยานไม่เคยโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ให้กับ น.ส.พินทองทา บุตรสาว แต่เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2545 พยานได้โอนเงินจำนวน 370 ล้านบาทให้กับ น.ส.พินทองทา บุตรสาวเนื่องในโอกาสวันเกิดครบอายุ 20 ปี ภายหลังจึงได้ทราบว่าบุตรสาวนำเงินจำนวน 367 ล้านบาทเศษไปซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปต่อจากนายพานทองแท้
ส่วนการที่นายพานทองแท้ น.ส.พินทองทาและนายบรรณพจน์ ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้กับกลุ่มทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์นั้น
บุตรชายและบุตรสาว ได้แจ้งให้พยานทราบราวเดือนธันวาคม 2548 ว่า นายบรรณพจน์ ได้ติดต่อจะขายหุ้นกับเทมาเส็ก เนื่องจากในอนาคตจะเกิดปัญหาทางธุรกิจที่จะมีการแข่งขันในระบบ 3 จี ซึ่งต้องลงทุนสูง ประกอบกับนายบรรณพจน์ บอกว่าอายุมากแล้วต้องการวางมือ จึงได้บอกกับนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาให้ตัดสินใจเอง
คุณหญิงพจมาน เบิกความว่า สำหรับบริษัทวินมาร์ค ที่ คตส.กล่าวหาว่า พยานและพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของนั้นไม่เป็นความจริง
ความจริงแล้ว บริษัทวินมาร์ค มี นายมามุส โมฮัมหมัด อัล อัลซาลี มหาเศรษฐี ชาวตะวันออกกลาง ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเรียลเอสเตท เพื่อนนักธุรกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเจ้าของ และมาขอซื้อหุ้นจากพยานและพ.ต.ท.ทักษิณ มูลค่า 650 ล้านบาท เพื่อต้องการนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พยานและพ.ต.ท.ทักษิณ จึงขายหุ้นให้ไปในราคาพาร์ ซึ่งไม่ทราบว่าบริษัทวินมาร์คจะถือครองหุ้นเป็นเวลานานเท่าใดก่อนที่จะขายหุ้นต่อให้กับ น.ส.พินทองทา
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ให้กับบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำนวน 32.9 ล้านหุ้น
ได้เงินมาแล้วนำเข้าบัญชีของพยานเนื่องจากเป็นเงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยืมไป ส่วนบริษัทแอมเพิลริช จะประกอบกิจการประเภทใดนั้นไม่ทราบเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนจัดการ คุณหญิงพจมาน เบิกความต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับการชักชวนจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมืองหัวหน้าพรรคพลังธรรม ให้ลงเล่นการเมืองในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค และมอบให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้ ซึ่งพยานไม่เห็นด้วยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะลงเล่นการเมือง แต่ก็ไม่สามารถคัดค้านได้ พยานไม่เคยมอบเงินสนับสนุนพรรคพลังธรรมและไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีข้อตกลงอะไรพิเศษหรือไม่
หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นตำแหน่ง ต่อมาเมื่อปี 2544 พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มาขอเงินพยานและก่อตั้งพรรคไทยรักไทย
แม้พยานจะเป็นผู้สนับสนุนให้เงินบริจาคพรรคไทยรักไทยก็ตาม แต่ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการบริหารพรรคไทยรักไทยและไม่มีตำแหน่งใดๆในพรรค และไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการบริหารราชการในฐานะภริยาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด และไม่เคยได้รับผลตอบแทนใดขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ บริหารราชการแผ่นดิน
ภายหลังพยานและ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้จดทะเบียนหย่ากันที่ประเทศฮ่องกง โดยทำข้อตกลงกันว่าทรัพย์สินที่มีชื่อใครก็ให้บุคคลนั้นไป
ส่วนที่มีข่าวว่าประเทศอังกฤษได้อายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ กว่า 100,000 ล้านบาทนั้นไม่เป็นความจริง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีทรัพย์สินในต่างประเทศ ซึ่งบ้านในประเทศอังกฤษมูลค่า 200 ล้านบาทนั้นเป็นของพยานเอง
ภายหลังคุณหญิงพจมาน เบิกความเสร็จสิ้นแล้วทนายฝ่ายผู้คัดค้านนำพยานเข้าเบิกความให้ศาลไต่สวนอีก 1 ปากจนเสร็จสิ้นแล้ว ศาลนัดไต่สวนพยานครั้งต่อไปวันที่ 17 กันยายน นี้ เวลา 09.30 น.