กรุสมบัติ ตระกูลชิน

กรุงเทพธุรกิจ BizWeek แกะรอยมาให้เห็นเส้นทางผลประโยชน์ของตระกูลชินวัตรไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในประเด็น "ค่าเช่า" ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการโกยรายได้แบบ "เสือนอนกิน" ของตระกูลนี้
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : กรุสมบัติ "ตระกูลชิน"

นิตยสารฟอร์บส์ เอเชีย จัดอันดับนักธุรกิจไทยที่ร่ำรวยที่สุด 40 คน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และครอบครัว ติดอันดับ 4 ด้วยสินทรัพย์ 2,200 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 83,600 ล้านบาท

ไม่มีใครเชื่อว่า "ครอบครัวชินวัตร" จะมีสินทรัพย์เพียงเท่านี้ โดยเฉพาะบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์อีกจำนวนมากที่ "ฟอร์บส์" ยังล้วงไม่ถึง

เฉพาะปี 2548 เพียงปีเดียว "บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น" (ชินคอร์ป) แจ้งไว้ในรายงานประจำปีว่า "ครอบครัวชินวัตร" ได้รับเงินปันผลจากหุ้น "SHIN" เป็นเงินสดมากถึง 3,470 ล้านบาท

แต่หลังจากขายชินคอร์ปไปด้วยตัวเลข 73,000 ล้านบาท ใครๆ ก็อยากรู้ว่า สมบัติ "ตระกูลชินวัตร" เหลืออีกเท่าไหร่ในเมืองไทย และมีช่องทางผลประโยชน์อะไรอีกบ้าง

ไม่มีใคร "ล้วงลึก" ทรัพย์สมบัติของมหาเศรษฐีที่มีชีวิตไม่เป็นสุขคนนี้ได้ทั้งหมด แต่กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฉบับนี้ แกะรอยมาให้เห็นเส้นทางผลประโยชน์ของตระกูลชินวัตรไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะในประเด็น "ค่าเช่า" ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการโกยรายได้แบบ "เสือนอนกิน" ของตระกูลนี้

"รายได้ระยะยาว" ที่ครอบครัวนี้ "นอนกิน" แบบไม่ต้องรับความเสี่ยงคือ "ค่าเช่า-ค่าบริการ" ซึ่งมีเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป

หลักๆ มาจากอาคารสำนักงานซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทย่อยของชินคอร์ป และธุรกิจอื่นๆ ที่มาเช่า

เช่น อาคารชินวัตรทาวเวอร์ 1-2-3, อาคารเอสซี สาธรแมนชั่น ถ.สาทรใต้, อาคารไวท์ เฮ้าส์ อาคารการประปานครหลวง อาคารแขวงทุ่งสองห้อง อาคารไทยคม เทเลพอร์ต ดีทีเอช

เมื่อรวมค่าเช่า กับ บริการสาธารณูปโภค จะพบว่า ในแต่ละปี เครือชินคอร์ป ของเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ มีภาระผูกพันที่ต้องจ่ายค่าเช่าและค่าบริการให้กับตระกูลชินวัตร ประมาณ 840 ล้านบาทต่อปี

แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของแต่นอนกินสบายๆ แบบไร้ความเสี่ยง 800 กว่าล้านต่อปี

นี่คือช่องทางรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำมากที่สุด (ตราบเท่าที่ความสัมพันธ์ระหว่างชินวัตร และเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่น)

นอกจากทรัพย์สินในรูปอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจหลักของตระกูลนี้อีกก้อนหนึ่งซึ่งไม่ได้ขายให้กับเทมาเส็ก คือธุรกิจสื่อและเอ็นเตอร์เทนเมนท์ที่ โอ๊ค...พานทองแท้ ชินวัตร ไปลงทุนร่วมกับเพื่อนๆ ในภาพของ "กลุ่มฮาวคัม"

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า กลุ่มฮาวคัมของโอ๊ค มีทั้งหมดด้วยกัน 8 บริษัท ไล่ไปตั้งแต่ธุรกิจแรกของหนุ่มโอ๊ค ร้านถ่ายรูป She@mood ย่านสยามสแควร์ ในนามบริษัทนิวโอ๊ค

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ โอ๊คเปิดเกมรุกในธุรกิจมีเดีย จังหวะเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อบารมีถึงจุดสูงสุด โดยใช้ชื่อ บริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเมนท์ เป้าหมายแรกคือ ผลิตรายการและซื้อลิขสิทธิ์รายการจากต่างประเทศ ตามด้วยธุรกิจในไลน์เดียวกันคือ ฮาวคัม มีเดีย ผลิตสื่อโฆษณาภายในชานชาลา รถไฟฟ้าใต้ดิน และ บริษัท ฮาวคัม เอวี ทำธุรกิจอีเวนท์และออร์แกไนเซอร์

นอกจากนั้นยังมีธุรกิจเล็กๆ อีก 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท มาสเตอร์ โฟน ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ "เวอร์ทู" บริษัท โอคานิท เจ้าของธุรกิจร้านกาแฟ "คาเฟ่ อินน์" และ บริษัท ฮาวคัม ไอพี จัดจำหน่าย "ชิพ" สำหรับโทรศัพท์มือถือ

3 ปีเศษของการสร้างอาณาจักรมีเดียและเอ็นเตอร์เทนเมนท์ของหนุ่มโอ๊ค โดยภาพรวมทั้ง 8 บริษัท มีสินทรัพย์รวมกัน 276.41 ล้านบาท มีหนี้สิน 167.65 ล้านบาท และจากผลประกอบการปี 2548 ของ 5 บริษัทในกลุ่มที่แจ้งต่อกระทรวงพาณิชย์แล้วพบว่า ขาดทุนสุทธิรวมกัน 57.66 ล้านบาท

ธุรกิจของลูกโอ๊ค...ไม่รุ่งนัก และเป็นธุรกิจที่เกี่ยวพันกับ "คอนเนคชั่น" อยู่มาก โดยเฉพาะสัมปทานที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจ เช่นกรณีฮาวคัม มีเดีย ที่กวาดสัมปทานสื่อรถไฟฟ้าใต้ดินไปถึง 18 สถานี

ดูเหมือนว่าต้องใช้เวลาอีกไกลว่า "พานทองแท้" จะพิสูจน์ได้ว่าระหว่าง "ฝีมือ" กับ "เส้น" กลุ่มฮาวคัม "มีดี" ที่อะไรกันแน่

ทั้งหมดนี้อาจเป็นแค่ "น้ำจิ้ม" เมื่อเทียบกับทรัพย์สินมหาศาลของชินวัตร แต่ก็ชี้ให้เห็นว่า นอกจากชินคอร์ปที่ถูกแปรสภาพเป็น "เงินสด" 7.3 หมื่นล้านบาทแล้ว "ตระกูลชิน" ยังมีช่องทางผลประโยชน์อีกเพียบ !! ในเมืองไทย


ติดตามอ่านรายละเอียดจาก กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฉบับวันที่ 1-7 ก.ย.2549

แหล่งข่าว กรุงเทพธุรกิจ BizWeek