ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 13.00 น. วันที่ 3 กันยายน องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยาน คดีที่อัยการสูงสุดขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท โดยมี นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ขึ้นเบิกความ ในฐานะผู้คัดค้านที่ 2
นายพานทองแท้ ได้ยืนยันตามบันทึกถ้อยคำที่ทำเป็นหนังสือ ยื่นให้กับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.)
พร้อมย้ำว่า การซื้อขายหุ้นของบริษัท ชินคอร์ป ให้กลุ่มเทมาเส็ก ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เป็นอำนาจในการตัดสินใจของตนเอง โดยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน บิดาและมารดาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่มีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เป็นผู้ดำเนินการติดต่อซื้อขายกับกลุ่มเสมาเส็ก ส่วนตนกับนางสาวพิณทองทา ซึ่งเป็นน้องสาว ได้มอบอำนาจให้ นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เป็นผู้ดำเนินการ
"การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ขายหุ้นชินคอร์ปให้ตนในราคาพาร์ เมื่อต้นปี 2543 เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการวางมือทางธุรกิจ ก่อนจะลงเล่นการเมือง และผมก็ได้จ่ายเงินค่าซื้อหุ้นให้ตามจำนวนอย่างครบถ้วน และไม่ได้ปกปิดทรัพย์สิน"
นายพานทองแท้ ยังเบิกความอีกว่า ขอตั้งข้อสังเกตการทำงานของ คตส.ว่า อาจมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากมีความสับสน
โดยเฉพาะในการเรียกเก็บภาษี ในการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก และมีการอายัดทรัพย์ของตน รวมกับของ พ.ต.ท.ทักษิณ และระหว่างเข้าให้ข้อมูลกับ คตส.ก็ถูกกดดันจากกลุ่มบุคคลที่มีอคติกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีการตั้งคำถามเชิงยัดเยียด ดังนั้น การให้ถ้อยคำกับ คตส. ส่วนหนึ่งมาจากการตื่นกลัว
อย่างไรก็ตาม ศาลได้นัดสืบพยานเพิ่มเติมอีกครั้ง ในวันที่ 10 กันยายน เวลา 09.00 น.
นายพานทองแท้ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บอกให้พูดความจริงต่อศาล เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น และส่วนตัวก็รู้สึกสบายใจที่ได้พูดความจริง เพื่อทำให้คนที่เข้าใจผิดได้รับทราบสิ่งที่เกิดขึ้น