พท.เย้ยนายกฯ เหมือนคนป่วยใกล้ตาย เจอชวรัตน์โหวตสวน จี้ทิ้งเก้าอี้ พงศ์เทพตอกล้มเหลว ถูกทวงบุญคุณ

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เพื่อสรรหาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ตนเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมโหวตคัดค้านบุคคลที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอชื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ อย่างไรก็ตาม ตนไม่ถือว่าเรื่องดังกล่าว เป็นการหักหน้า หรือเป็นความขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นเรื่องธรรมดาในการทำงาน ที่ต้องมีความเห็นแตกต่างกันบ้าง และพรรคภูมิใจไทยไม่ได้มีปัญหาอะไรที่จะทำงานร่วมกับทางพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลต่อไป

เมื่อถามว่า การประชุมครั้งหน้า หากนายกรัฐมนตรี เสนอชื่อบุคคลเดิมเข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง จะโหวตคัดค้านอีกหรือไม่นั้น นายชวรัตน์ กล่าวว่า คงยังตอบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้นายกรัฐมนตรีเสนอบุคคลเข้าร่วมการสรรหาหลายๆ คน เพื่อให้ทางคณะกรรมการ ได้มีโอกาสคัดเลือก และรับฟังความเห็นที่หลากหลาย ได้

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า เหตุที่ตนเองโหวตคัดค้านนายกรัฐมนตรี เป็นเพราะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพรรคภูมิใจไทยสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย มากกว่าบุคคลที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอนั้น นายชวรัตน์ กล่าวว่า ตนคงตอบอะไรไม่ได้ เพราะควรที่จะไปถามที่นายสุเทพมากกว่า

ขณะที่ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า สาเหตุที่นายอภิสิทธิ์ยังไม่สามารถตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ได้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา เป็นเพราะผู้มีบุญคุณที่ทำให้มีรัฐบาลชุดนี้กลับมาทวงบุญคุณ นายกรัฐมนตรีจึงทำอะไรไม่ได้มากนัก ถ้ารัฐบาลมาจากประชาชน ก็คงไม่ต้องฟังเสียงใคร แต่เมื่อรัฐบาลมาอีกรูปแบบ ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สภาพของนายอภิสิทธิ์ตอนนี้ เรียกว่าหมดสภาวะผู้นำแล้วซึ่งเหมือนคนป่วย ที่หมดสภาพแล้ว เพราะขนาด นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็ยังโหวตผู้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.สวน อาการหนักจนทำให้ผู้ใหญ่ในพรรคและส.ส.ต้องมาให้กำลังใจเหมือนคนป่วยใกล้ตาย ที่ต้องการกำลังใจจากญาติ คนใกล้ชิดและเพื่อนฝูง เท่ากับสิ้นสภาพแล้ว อยู่ไปก็หมดศักดิ์ศรีเพราะตัดสินใจอะไรเองไม่ได้ ถูกบีบตลอดเวลา ยิ่งทุกวันนี้สังคม ประชาชนก็เริ่มรับไม่ได้ในการเข้าไปแทรกแซงกระบวนการแต่งตั้งตำแหน่งข้าราชการและในพรรคร่วมรัฐบาล มีการข้ามหัวกันเละเทะรวมถึงปัญหาการทุจริตของนักการเมืองในซีกรัฐบาลตั้งแต่ปลากระป๋องเน่าจนมาถึงชุมชนพอเพียงโดยเฉพาะจากพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคแกนนำ

"วันนี้นายอภิสิทธิ์ ต้องตัดสินใจเพื่ออนาคตทางการเมืองเพราะอายุยังน้อย อย่าไปตัดอนาคตตนเองเลย ขอเสนอให้นายอภิสิทธิ์ รีบตัดสินใจทางการเมืองเพื่อรักษาตัวรอดเป็นยอดคน ถ้าตัดสินใจไม่ได้ ก็ควรให้คนอื่นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน" นายสุรพงษ์ กล่าว
 

นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข่าวลือยุบสภาว่า ขณะนี้นายอภิสิทธิ์เริ่มถูกโดดเดี่ยวจากกลุ่มบุคคลที่เคยเป็นนั่งร้านให้ตัวเอง โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงที่แสดงออกอย่างชัดเจนในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ประกอบกับการเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ จนเกินความพอดีและไปกระทบกับหลักธรรมาภิบาล จนทำให้มีกลุ่มคนที่เคยอุ้มชูกันมากดดันให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภา อย่างไรก็ตาม ตนขอให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ให้ประคับประคองสถานการณ์ไปจนกว่าจะมีการผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 เป็นที่เรียบร้อยก่อน

นายประชา กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ถูกกดดันหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การทุจริตในโครงการชุมชนพอเพียง การไม่สามารถสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมตามที่ได้รับปากกกับผู้มีบารมีได้ และความสัมพันธุ์กับพรรคร่วมรัฐบาลที่ลุ่มๆดอนๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้ทำให้เห็นว่าธาตุแท้ของนายอภิสิทธิ์เป็นอย่างไร เพราะเป็นที่รับรู้กันว่านายอภิสิทธิ์ไม่เคยคบใครจริงจังพอได้ดีก็ถีบหัวส่ง

นายประชา กล่าวว่า หากมีการยุบสภาจริง พรรคเพื่อไทยพร้อมสู้การเลือกตั้ง และมีความเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะให้พรรคที่ได้เสียงข้างมากในการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลจะกลับมาจับขั้วกับพรรคเพื่อไทยเหมือนเดิมหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบเพราะขึ้นอยู่กับพรรคร่วม แต่ที่ผ่านมาปรากฎชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์คบยากใคร เป็นหมูเกิดใหม่ก็กลายเป็นหมูในอวยเขาไป แต่ถ้าเขี้ยวลากดินมาพรรคประชาธิปัตย์จะเตะตัดขาตลอด ทั้งที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องการทำผลงานให้เป็นที่ปรากฎกับประชาชนแต่ก็ทำไม่ได้เพราะพรรคประชาธิปัตย์กลัวว่าพรรคร่วมจะได้ดีกว่า