คมชัดลึก :“ทนายทักษิณ”ออกแถลงการณ์โต้“บวรศักดิ์”ขุดฎีกา 99 นักวิชาการค้าน“เปรม”ปี 2531 ย้อนถามเป็น“ฎีกาการเมือง”หรือไม่ "ชี้" “บวรศักดิ์-ธงทอง-เจิมศักดิ์”ก็ร่วมลงชื่อด้วย แนะรัฐบาลทำบันทึกความเห็นต่างถวายประกอบฎีกา อุ้ม“ทักษิณ”
(8ส.ค.) นายพิชิต ชื่นบาน อดีตทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีที่ดินรัชดา ออกแถลงการณ์ฉบับที่สองแสดงความเห็นที่แตกต่างเรื่อง“การใช้สิทธิทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาตามกฎหมายและประเพณีของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ราชบัณฑิต” ความยาว 20หน้ากระดาษ เนื้อหาใจความสำคัญว่า สืบเนื่องจากมีกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งรวมทั้งนักการเมืองจากซีกรัฐบาล ได้โต้แย้งคัดค้านต่อการใช้สิทธิทูลเกล้าฯ ในลักษณะที่เป็นพฤติกรรมข่มขู่เพื่อหวังผลให้ผู้ดำเนินการยุติในเรื่องลงชื่อทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา โดยวิธีการลดความน่าเชื่อถือของฎีกา
ด้วยความพยายามขยายความบางประเด็นของสาระที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและประเพณีไทย และชี้นำให้เห็นว่ามีจุดผิดพลาดในการเสนอเหตุผลและแสดงความเห็นผ่านข้อมูลจากวรรณกรรมต่างๆที่นำมาใช้อ้างอิง แต่แอบแฝงด้วยวาทกรรมในด้านต่างๆ ดังนั้นได้ตรวจสอบบทความเรื่องการใช้สิทธิทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาตามกฎหมายและประเพณีของ ศ.ดร.บวรศักดิ์ แล้วพบว่า การอ้างข้อกฎหมายมีความคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในหลายประการ
เขา กล่าวว่า ตัวอย่างประเพณีในการยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทยที่ประชาชนผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องระดับนักวิชาการของประเทศ 99 คนได้ทำเป็นแบบอย่างประเพณีไว้ คือ เหตุการณ์ยื่นฎีกาเดือนมิ.ย.2531 ขณะนั้นพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อตรวจสอบรายชื่อนักวิชาการแล้วพบว่า ศ.ดร.บวรศักดิ์ เป็นหนึ่งในนักวิชาการที่ร่วมลงลายมือชื่อ นอกจากนี้ยังปรากฏรายชื่อ ศ.ธงทอง จันทรางศุ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โดยเนื้อหาฎีกากล่าวถึงความวุ่นวายทางการเมือง การแตกแยกความสามัคคีในหมู่ทหาร ข้าราชการและประชาชน ก็เนื่องมาจากผู้นำทางการเมืองที่รักษาการตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐบาลมิได้วางตนเป็นกลางอย่างแท้จริง แต่กระทำการแอบอิงสถาบันหลักของบ้านเมือง ปล่อยให้มีการนำกำลังทหารของชาติซึ่งมีไว้เพื่อป้องกันและพัฒนาประเทศมาแสดงพลังสนับสนุนสถานภาพทางการเมืองส่วนบุคคลจนทำให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก
"จากเนื้อหาฎีกาผมจึงอยากถามศ.ดร.บวรศักดิ์ว่าฎีกาของพวกท่านเป็นฎีกาประเภทใดเป็นฎีกา “การเมือง”หรือ“ฎีกาโกลา หล” อย่างที่ท่านเรียกฎีกาของประชาชนที่กำลังจัดทำอยู่ขณะนี้หรือไม่ การที่ประชาชนร่วมยื่นทูลเกล้าฯถวายฎีกา กล่าวถึงความทุกข์แสนสาหัสจากปัญหาเศรษฐกิจ มีการยึดอำนาจโดยเผด็จการ จัดตั้งรัฐบาลไม่ชอบธรรมและได้กล่าวถึงความมุ่งหวังให้เกิดความสามัคคีในชาติ นอกเหนือจากขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณ ตนจึงเห็นต่างกับศ.ดร.บวรศักดิ์ ว่าฎีกานี้มิใช่ฎีการเมือง หรือฎีกาโกลาหลตามที่กล่าวหา แต่เป็นการทูลเกล้าฯถวายฎีการ้องทุกข์ขอพระบรมราชานุเคราะห์และฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษในฉบับเดียวกัน จึงน่าจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อองค์พระมหากษัตริย์ได้ตามธรรมเนียมปฏิบัติเดิมที่เรียกว่าโบราณราชประเพณี" พิชิต กล่าว
ทนายความทักษิณ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การที่ศ.ดร.บวรศักดิ์ กล่าวอ้างพระราชกฤษฎีกาวางระเบียบทูลเกล้าฯถวายฎีกาซึ่งตราขึ้นโดยรัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 10 ม.ค.2457 ยังมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น คลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เนื่องจากการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ.2477 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2478 เป็นไปตามม.3 และม.4 ซึ่งไม่เชื่อว่าผู้รู้ระดับศ.ดร.บวรศักดิ์ จะไม่รู้ว่ามีการยกเลิกและไม่มีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน จึงอยากให้บุคคลทุกฝ่ายที่เข้าใจสภาพปัญ หานี้ช่วยกันตรวจสอบว่าเพราะเหตุใดเมื่อกฎหมายถูกยกเลิกไปแล้ว ศ.ดร.บวรศักดิ์ จึงยืนยันว่า ยังมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน เพื่อพิสูจน์ว่าข้อยืนยันในเรื่อง“สัจจะ”ของหลักวิชาการทางกฎหมายของศ.ดร.บวรศักดิ์ ยังมีอยู่หรือไม่
เขา กล่าวอีกว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.259 บัญญัติว่าเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะทูลเกล้าฯถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ ขอรับพระราชทานอภัยโทษจะยื่นต่อรมว.ยุติธรรมก็ได้ ถ้อยคำว่า“ก็ได้”แสดงให้เห็นว่ากฎหมายไม่บังคับให้ยื่นผ่านรมว.ยุติธรรมเท่านั้น เมื่อกฎหมายไม่ได้บังคับรูปแบบ หลักเกณฑ์และวิธีการ จึงต้องถือตามราชประเพณีโบราณที่มีมาแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นอกจากนี้คำขอถวายฎีกาของประชาชนยังไม่มีถ้อยคำใดคัดค้านคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด นอกจากนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาม.259 ผู้มีสิทธิยื่นเรื่องราวนอกจากผู้ต้องโทษเองแล้วกฎหมายใช้คำในลักษณะรวมๆ กันว่า“ผู้ที่มีประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง”เมื่อพิจารณาประกอบกับกรณีวิกฤตตุลาการที่มีผู้พิพากษา 193 คนร่วมทูลเกล้าฯถวายฎีกาแล้วเห็นว่า ประชาชนที่ร่วมลงชื่อทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาในคราวนี้มีความชอบด้วยกฎหมาย
"ผมเห็นว่าเนื้อหาของการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ได้ยืนยันเนื้อหาเพื่อมุ่งหวังให้เกิดความสามัคคี สมานฉันท์ในชาติและวรรคสุดท้ายของคำขอถวายฎีกายอมรับว่าสุดแต่พระบรมราชวินิจฉัย ดังนั้นเห็นว่านายกรัฐมนตรี รมว.ยุติธรรม รมว.มหาดไทยและบุคคลในรัฐบาลตลอดจนผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย หากเห็นแตกต่างในประการใดก็ควรจัดทำบันทึกถวายความเห็น ไม่ควรที่จะใช้วิธีการใดๆ ระงับการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา หรือกระทำการใดๆให้สถานการณ์เลวร้าย ทำให้เกิดการเผชิญหน้าและขยายขอบเขตปัญหาออกไปไม่สิ้นสุด" พิชิต กล่าว