´พล.ต.สมาน´ โผล่ ปัดพัลวัน โต้บึมคาร์บอมบ์

จากเหตุการณ์คดีลอบสังหารผู้นำประเทศ


หลังหน่วยอรินทราช 26 ที่ติดตามอารักขานายกรัฐมนตรีล็อกตัว ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ นายทหารสังกัดกองบัญชาการกองทัพบก ช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) อดีตคนขับรถ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี คาเก๋งยี่ห้อแดวู ทะเบียน ฐฉ 3085 กรุงเทพมหานคร บรรทุกระเบิดทีเอ็นที และซีโฟร์ต่อวงจรพร้อมจุดระเบิดอยู่บริเวณใต้สะพานข้ามแยกบางพลัดเส้นทางที่ขบวนรถของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใช้ประจำ

เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง ก่อนตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการที่อยู่เบื้องหลังต้องสงสัย มีนายทหารยศ พล.ต. และ พ.อ.สังกัด กอ.รมน.ร่วมวางแผนด้วย

พี่ชายรุดเยี่ยมยังเชื่อน้องบริสุทธิ์


ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 27 ส.ค. จ.ส.อ.อิทธิพล กลิ่นชะนะ พี่ชายของ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ผู้ต้องหาคดีมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เดินทางเข้าเยี่ยมน้องชายที่ห้องคุมขังกองปราบปราม ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เนื่องจากเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ไม่ใช่เวลาที่จะสามารถอนุญาตให้เยี่ยม แต่ ผู้บังคับบัญชาเห็นว่าเดินทางมาไกลจากจังหวัดราชบุรีจึงอนุญาตให้เยี่ยมได้ชั่วคราว หลังจากนั้น จ.ส.อ.อิทธิพลเปิดเผยแก่ผู้สื่อข่าวว่า ยังไม่เชื่อว่าน้องทำจริง เพราะเป็น คนดี แต่ขณะนี้คงไม่มีเวลาระบายความในใจ หรือพูดคุยอะไรให้ตนฟังได้มากนัก เพราะถูกจำกัดเวลาเข้าเยี่ยมได้แค่ยืนคุยกันห่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้มงวดมาก แม้แต่ อาหารการกินที่ตนซื้อข้าวมันไก่มาฝากยังถูกห้ามนำเข้า ให้กินอาหารเฉพาะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดไว้ให้เท่านั้น

ชื่นชม ทักษิณ ไม่น่าลอบฆ่า


ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้หารือกับทนายความเกี่ยวกับ การหาพยานหลักฐานที่จะใช้ต่อสู้คดีแล้วหรือไม่ จ.ส.อ. อิทธิพลกล่าวว่า เชื่อว่าที่น้องพูดไปนั้นเป็นความจริง 90 เปอร์เซ็นต์ ที่ว่าเพื่อนจ้างวานให้ไปเอารถแดวูคันดังกล่าว พอขึ้นรถก็ถูกตำรวจจับ โดยไม่ทันได้ขับออกไป และไม่รู้เรื่องว่า มีวัตถุระเบิดซุกซ่อนไว้ในรถ สำหรับเพื่อน ที่น้องชายอ้างชื่อนายจุ้ยที่วานให้มาเอารถนั้นคงจะต้องนำมาเป็นพยานด้วย ความจริงอยากให้ย้ายน้องไปอยู่ในความควบคุมของทหาร เพราะเชื่อมั่นในความเป็นกลางมากกว่า และปกติน้องก็เป็นคนชื่นชอบ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างมาก ไม่น่าจะก่อเหตุลอบสังหารตามที่ถูกกล่าวหา

ตรวจแยกลายนิ้วมือหาผู้ร่วมแก๊ง


สำหรับความคืบหน้าในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานแกะรอยผู้ร่วมขบวนการที่อยู่เบื้องหลัง วันเดียวกัน พนักงานสอบสวนได้เชิญเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่งานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด บก.ตปพ. รวมทั้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานที่ปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่เกิดเหตุและมีโอกาสสัมผัสกับของกลางทุกรายการ มาสอบปากคำเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนพิมพ์ลายนิ้วมือของเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเก็บไว้เป็นหลักฐานตรวจเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือแฝงที่ปรากฏอยู่ตามวัตถุพยานทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นรถของกลาง ตัววัตถุระเบิดและอุปกรณ์ประกอบ เช่น แกลลอนน้ำมัน เพื่อแยกลายนิ้วมือแฝงของผู้ต้องสงสัยออกจากกลุ่มเจ้าหน้าที่

เช็กโทรศัพท์ล่ามือรีโมต


เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดียังนำเทปบันทึกภาพเหตุการณ์ที่หน่วยอรินทราช 26 ซึ่งทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี ได้บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดไปตรวจวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของกลุ่มคนร้าย และหาภาพบุคคลต้องสงสัยที่อาจอยู่ร่วมขบวนการแล้วเข้ามาปะปนอยู่ในกลุ่มไทยมุง เพื่อสังเกตการณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขณะที่ทีมสืบสวนบางส่วนมุ่งแกะข้อมูลเชื่อมโยงหาการติดต่อทางโทรศัพท์มือถือระหว่าง ร.ท. ธวัชชัยกับผู้ร่วมขบวนการในช่วงเวลาก่อนถูกจับกุม หวังใช้เป็นเบาะแสสำคัญสาวไปถึงมือสังหารที่ถือรีโมตคอนโทรลจุดชนวนระเบิดในเหตุการณ์ระทึกขวัญเขย่ากรุงตอนสายวันเกิดเหตุ

โฆษก ตร.ย้ำอย่าพาดพิงใคร


เวลา 13.00 น. พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปที่กองปราบปรามรับฟังรายงานสรุปความคืบหน้าของคดีตลอด 2 วันที่ผ่านมา จากคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนก่อนเปิดเผยว่า ขอให้อดใจรอ เชื่อว่าจะได้รับประโยชน์จากข่าวสารเพิ่มเติม ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม คือ ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐาน คิดว่าไม่นานคงได้ข้อยุติที่เหมาะสม ขอย้ำว่า ขณะนี้อย่าได้พาดพิงถึงใคร การวิพากษ์วิจารณ์ขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกมาวิจารณ์ โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไร

พล.ต.-พ.อ.ยังเป็นแค่ข่าว


ส่วนจะมีการดำเนินคดีในข้อหาลอบทำร้ายผู้นำประเทศเพิ่มเติมหรือไม่นั้น โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า ความผิดของผู้ต้องหาอยู่ในขั้นเตรียมการ กฎหมายยังถือว่าไม่มีความผิด เจ้าหน้าที่จึงแจ้งเพียงข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน สอบสวนไปตามกระบวนการของกฎหมาย แต่การสืบสวนจะเป็นอย่างไรอีกประเด็นหนึ่ง ชั้นนี้อยู่ที่การสอบสวนในคดีมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองเป็นหลัก จะเชื่อมโยงใครหรือไม่นั้นก็ว่ากันไป ขอความกรุณาให้ทุกฝ่ายรอคอยกระบวนการยุติธรรม เชื่อว่าในที่สุดจะมีข้อยุติที่ถูกต้องและเหมาะสมได้ เมื่อถามถึงกระแสข่าวมี พล.ต.และ พ.อ.เกี่ยวข้องการวางแผน พล.ต.ท.อชิรวิทย์กล่าวว่า เป็นแค่ข่าว ต้องว่ากันไปตามพยานหลักฐานผลการตรวจพิสูจน์ และการสืบสวนสอบสวน ถ้าออกมาอย่างไรต้องเป็นไปตามนั้น ไม่มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงแน่นอน

เมียตั้งทนายเตรียมสู้คดี


ต่อมาในช่วงเย็น นางสังวรณ์ กลิ่นชะนะ ภรรยาของ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ พร้อมญาติและทนายความเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนขอเยี่ยมผู้ต้องหา โดยนำอาหารและผลไม้ติดมือมาฝากด้วย แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้นำของกินเข้าไปได้ ตามคำสั่งเข้มงวดของผู้บังคับบัญชา ก่อนเดินทางกลับโดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม นางสังวรณ์ได้นำเอกสารตั้งทนายความให้นายทหารผู้ต้องหาเซ็นชื่อไว้ต่อสู้คดีแล้ว มีนายศิริชัย ภักดี เป็นทนายรับทำคดีเตรียมใช้หลักทรัพย์มูลค่า 1 ล้านบาท ยื่นขอประกันตัวต่อศาลทหารในเวลา 11.00 น. วันที่ 28 ส.ค. นี้

ตามรอยเจ้าของคาร์บอมบ์


มีรายงานว่า คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนนำโดย พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. พ.ต.อ.อนุชัย เล็กบำรุง รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.รุจิรัตน์ หลุ่มบุญเรือง รอง ผบก.ป. ได้สั่งการให้ชุดสอบสวนนำรูปถ่ายรถเก๋งแดวู และรูปของ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ออกหาข้อมูลตามเส้นทางที่คาดว่าผู้ต้องหาจะเดินทางไป ตั้งแต่เวลา 05.45 น. วันที่ 24 ส.ค. หลังจากขับรถออกจากสวนรื่นฤดี เพื่อหาพยานแวดล้อมประกอบสำนวนคดี ขณะที่การตรวจสอบรถพาหนะในการบรรทุกระเบิดพบว่า มีผู้เช่าซื้อไปแล้วหลบหนีไฟแนนซ์ไม่ยอมผ่อนชำระเงินต่อ ตำรวจกำลังติดตามหาตัวผู้ครอบครองรายสุดท้ายมาสอบสวนอย่างเร่งด่วน เพื่อคลี่คลายประเด็นของพาหนะคาร์บอมบ์ ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยตามเป้าหมายที่ชุดสืบสวนมีรายชื่ออยู่หรือไม่

จับตา คนมีสี ผู้ชำนาญการบึม

ด้าน พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รอง ผบช.ก. พล.ต.ต. วินัย ทองสอง ผบก.ป. สั่งการให้ชุดสืบสวนกองปราบปรามเข้าตรวจสอบกลุ่มบุคคลในเครื่องแบบทั้งผู้บังคับบัญชาระดับสูง และเพื่อนใกล้ชิดกับ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญการประกอบวัตถุระเบิดหลายกลุ่ม เบื้องต้นพบมีจ่าทหาร 2 นาย ที่ชุดสืบสวนกำลังอยู่ระหว่างติดตามความเคลื่อนไหว มีทีม พ.ต.อ.ปรีชา ธิมามนตรี รอง ผบก.หัวหน้าศูนย์สืบสวน บช.น. หาข่าวจากกลุ่มคนมีสี ระดับผู้กว้างขวางที่เกี่ยวข้องกับการคุมสถานบริการและทวงหนี้นอกระบบ ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องระเบิด มีประวัติพัวพันคดีระเบิดหลายแห่งในพื้นที่นครบาลและปริมณฑลในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อดูความเชื่อมโยงกับกลุ่มนายทหารต้องสงสัยลอบสังหารหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในเครือข่ายของร้อยโทสังกัด กอ.รมน. รายนี้ด้วย

นายพลทหารนอกราชการโผล่ปฏิเสธ


ขณะเดียวกัน พล.ต.สมาน เกษรอินทร์ อายุ 66 ปี อดีตนายทหารประจำกองทัพบกออกมาเปิดเผยว่า หลังเกิดกระแสข่าวมีนายทหารยศ พล.ต.ร่วมพัวพัน รู้สึกไม่ สบายใจ และคิดว่าตัวเองอาจต้องเดือดร้อนด้วย เพราะก่อนหน้าเพียงวันเดียวได้โทรศัพท์ติดต่อไปหา ร.ท.ธวัชชัย ซึ่งเป็นลูกน้องเก่า แต่ไปทำงานอยู่กับ พล.ต.ไพบูลย์ ไผ่นาค นายทหารสังกัด กอ.รมน. นัดหมายว่า วันรุ่งขึ้นจะแวะเอาฝรั่งไปฝาก พล.ต.ไพบูลย์ ที่ที่ทำงาน เมื่อถึงแล้วจะโทรศัพท์ให้ ร.ท.ธวัชชัย เดินลงมาเอาชั้นล่าง

ยอมรับโทรศัพท์คุย ร.ท.ธวัชชัย


พล.ต.สมานกล่าวต่อว่า กระทั่งสายวันเกิดเหตุ ร.ท.ธวัชชัย โทรศัพท์เข้ามาหาอ้างว่า ถูกตำรวจล็อก ตนเข้าใจว่าโดนล็อกล้อเลยขอสายคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในที่เกิดเหตุพยายามอธิบายว่า ร.ท.ธวัชชัยเป็นลูกน้องที่ช่วยงานกัน รบกวนอำนวยความสะดวกให้ด้วย ก่อนวางสายไป มารู้ข่าวทางโทรทัศน์ว่า ร.ท.ธวัชชัยถูกจับขับรถขนระเบิดก็ตกใจ พยายามโทรศัพท์เข้ามือถือกลับไป หลายครั้งก็ติดต่อไม่ได้ คิดในใจว่าอาจต้องเดือดร้อนด้วย เพราะมีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกัน จึงอยากชี้แจงทำความเข้าใจในความบริสุทธิ์ และพร้อมจะให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ นายพลทหารนอกราชการกล่าว

ทักษิณ หลบนักข่าวออกจากบ้าน


ผู้สื่อข่าวรายงานถึงความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า เมื่อเวลา 09.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางออกจากบ้านซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 โดยสั่งให้รถนำขบวนและรถตำรวจชุดรักษาความปลอดภัยจำนวน 3 คัน ขับลวงกลุ่มผู้สื่อข่าวที่เฝ้าอยู่บ้านรับรองจันทร์ส่องหล้าเป็นรถตำรวจกองปราบ ปรามขับนำออกจากบ้านรับรองจันทร์ส่องหล้าไปทางหน้าปากซอยด้านถนนบรมราชชนนี แล่นช้าๆไปทางถนน จรัญสนิทวงศ์ ขณะเดียวกัน รถตำรวจติดตามคันหนึ่งไปเลี้ยวกลับรถลอดใต้สะพานข้ามแยกบางพลัดแล่นไปตามถนนบรมราชชนนีขาออก ผ่านหน้าห้างตั้งฮั่วเส็ง ส่วนอีกคันไปโผล่ออกที่ปากซอยจรัญสนิทวงศ์ 71 เพื่อหลอกล่อไม่ให้รถผู้สื่อข่าวติดตามได้ถูก ทำให้ขบวนรถของผู้สื่อข่าว ต่างพากันงงงัน แต่สังเกตได้ว่าไม่มีรถของนายกฯแล่นอยู่ ข้างหน้าแต่อย่างใด จึงพากันถอยกลับไปปักหลักกันที่ บ้านรับรองจันทร์ส่องหล้า ต่อมาทราบภายหลังว่า พ.ต.ท. ทักษิณหลบออกจากบ้านไปก่อนหน้านั้นแล้ว ใช้รถมอเตอร์ไซค์ของตำรวจติดตามเป็นรถนำขบวน

แอบไปตีกอล์ฟกับ สุริยะ-เพ้ง


ผู้สื่อข่าวได้พยายามโทรศัพท์เช็กข่าวกันจ้าละหวั่น เพราะมีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไปออกรอบตีกอล์ฟที่สนาม กอล์ฟแห่งใดแห่งหนึ่ง จึงตระเวนไปสำรวจตามสนามกอล์ฟ ย่านบางนาที่ พ.ต.ท.ทักษิณมักไปออกรอบประจำ แต่ก็ไม่มีวี่แวว จนกระทั่งทราบภายหลังว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปออกรอบกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรคไทยรักไทย นายประยุทธ มหากิจศิริ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รองเลขาธิการพรรค ไทยรักไทย ที่สนามกอล์ฟอมตะสปริง คันทรีคลับ ซึ่งเป็น สนามกอล์ฟของนายวิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อมตะนคร ตั้งอยู่ที่ อ.เมืองชลบุรี ทั้งนี้ สนาม กอล์ฟดังกล่าว เป็นสถานที่สงวนให้เฉพาะสมาชิกและแขก ของสมาชิกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณตีกอล์ฟไปถึงหลุมที่อยู่ใกล้กับถนนด้านหน้ามากที่สุด ตำรวจติดตามต่างก็พากันมายืนอารักขาเป็นจุดๆอย่างใกล้ชิด และกันช่างกล้องของสถานีโทรทัศน์ที่ติดตามไป ทำข่าวไม่ให้เดินขึ้นไปบนเนินที่สามารถถ่ายภาพก๊วนกอล์ฟได้ ก่อนเดินทางกลับตอนเวลา 16.00 น.

เผยเพิ่มแผน รปภ.คุ้มกันขั้นสูงสุด


พล.ต.ต.อรรถกฤษ ธารีฉัตร ผบก.ส.3 หัวหน้าชุดรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การรักษาความปลอดภัยนายกฯ เจ้าหน้าที่ต้องทำทุกอย่างเต็มมาตรการ เนื่องจากตกเป็นเป้าหมายลอบสังหาร มีกลุ่มต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อให้นายกฯเสียชีวิต นอกจากลอบวางระเบิดแล้ว ยังมีวิธีอีกหลายวิธี เจ้าหน้าที่ทุกนายที่ทำหน้าที่รักษา ความปลอดภัยจำเป็นต้องเพิ่มความสังเกต และระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ขณะนี้มีการสั่งเพิ่มกำลังทีม รปภ.ทั้งฝ่ายทหาร และตำรวจ ต่อไปนี้ภารกิจส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีที่ออกจากบ้านคงต้องปกปิดเป็นความลับ เพิ่มมาตรการรักษา ความปลอดภัยบริเวณรอบบ้านขั้นสูงสุด กำชับเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องตรวจสอบบุคคลและรถยนต์ทุกคันที่เข้า-ออกบ้านพัก ทำเนียบรัฐบาล ที่ทำการพรรคไทยรักไทย และสถานที่ทุกแห่งที่มีกำหนดเดินทางของนายกฯ เพราะสถานการณ์ไว้วางใจไม่ได้ ถือเป็นภัยคุกคามผู้นำประเทศที่เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายต้องเตรียมความพร้อมตลอดเวลา

ทรท.วอนผู้ต้องหาซัดทอดผู้บงการ


ที่พรรคไทยรักไทย น.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย และนายจตุพร พรหมพันธุ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทย ร่วมกันแถลงถึงความคืบหน้าเหตุการณ์วางระเบิดลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า กรณีที่มีการวิจารณ์กันว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการจัดฉากนั้น อยากให้มองว่ากรณีนี้มีผู้ต้องหาและหลักฐานชัดเจน และจะต้องรับโทษสถานหนัก เบื้องต้นทราบว่ายังพบหลักฐานเพิ่มเติมที่บ้านผู้ต้องหาและโยงใยไปยังบุคคลต่างๆแล้ว ตำรวจจะสอบสวนให้ถึงที่สุดว่าใครเป็นคนบงการ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ถือว่ามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ จะปฏิเสธข้อหาว่าไม่รู้ไม่ได้ ขอเรียกร้องให้ ร.ท. ธวัชชัยทำประโยชน์ให้ประเทศเพื่อลบล้างความผิด โดยเปิดเผยเบื้องหลังทั้งหมดว่าใครเป็นผู้บงการบ้างและต้องการสิ่งใด

เนวิน เตรียมฟ้องกลับ สนธิ


นายจตุพรกล่าวว่า การกล่าวหาว่ารัฐบาลจัดฉากนั้น อยากถามว่าคนพูดต้องการให้เกิดโศกนาฏกรรม ต้องมีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินก่อนหรืออย่างไร การสอบสวนขยายผลควรเป็นหน้าที่ของตำรวจ ผู้ใดที่ไม่เกี่ยวข้องอย่าเบี่ยงประเด็น เพราะเรื่องนี้สุดท้ายแล้วจะจบลงที่ศาล ส่วนที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ระบุว่านายเนวิน ชิดชอบ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้นั้น ทราบว่าขณะนี้นายเนวินกำลังรวบรวมข้อมูลหลักฐานเพื่อมอบให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคไปฟ้องร้องนายสนธิ ข้อหาหมิ่นประมาทและใส่ร้าย การฟ้องร้องคงมีขึ้นภายในสัปดาห์หน้า

อัดยับ จำลอง สติแตก


นายจตุพรกล่าวด้วยว่า ที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระบุว่าอย่าประกาศศึกกับ จปร.รุ่น 7 นั้น ไม่ทราบว่า พล.ต.จำลองได้ข้อมูลจากที่ไหน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณระบุชัดเจนตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดว่า พล.ต.จำลองและ จปร.รุ่น 7 ไม่เกี่ยวข้อง ฉะนั้นควรฟังความให้ชัดก่อน ความจริงเมื่อปี 2535 พล.ต.จำลองเคยเรียกร้องให้ นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง แต่ในปี 2549 กลับเรียกร้องให้นายกฯมาจากการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ชี้ให้เห็นว่าเป็นการแสดงออกบนพื้นฐานอคติ สร้างความแตกแยกให้สังคม ทั้งที่เป็นผู้ถือศีลแปด แต่วันนี้กลับสติแตกมากที่สุด สำหรับกรณีที่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุว่ากองโฆษกพรรคไทยรักไทยอยู่เบื้องหลังกลุ่มรากหญ้าที่เดินทางไปบ้านสี่เสาเทเวศร์ ขอพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อขอชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีใครกล้าคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของ พล.อ.เปรม ขออย่าโยงเรื่องให้ประชาชนเข้าใจผิด ควรยุติการจับแพะชนแกะชักจูงคนทะเลาะกันได้แล้ว

อภิสิทธิ์ จี้ตำรวจแจงข้อกังขา


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้ผู้เกี่ยวข้องชี้แจงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นที่มีการระบุว่ารัศมีของระเบิดจะทำอันตรายได้ถึง 1 กิโลเมตร ทั้งที่ถ้าเทียบกับการก่อเหตุลักษณะเดียวกันในต่างประเทศกลับมีรัศมีทำการไม่กี่เมตร ซึ่งการออกมาให้ข้อมูลเช่นนี้ทำให้ประชาชนหวั่นไหว อีกทั้งตอนกู้ระเบิดก็ไม่มีการอพยพผู้คนออกจากพื้นที่เพื่อให้พ้นรัศมีของระเบิดตามที่มีการกล่าวอ้าง นอกจากนี้อยากให้เจ้าหน้าที่เร่งหาข้อเท็จจริงโดยไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าไปชี้นำ ขอให้ยึดหลักความจริง อย่างตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพิ่งรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีข่าวว่ามีการลอบวางระเบิดเครื่องบินลำที่นายกฯจะโดยสาร แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นการระเบิดจากความขัดข้องของระบบภายในเครื่องบินเอง แต่ก็ไม่เคยมีการทำให้ความจริงปรากฏต่อสังคม ดังนั้น จึงอยากให้สังคมมีสติ

ท้าจับ 4 ทหารร่วมทีมสังหาร


ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่ตำรวจตัดประเด็นเรื่องสร้างสถานการณ์ออกไปทำให้รูปคดีพุ่งไปที่การพยายามลอบสังหารเพียงอย่างเดียว นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงต้องรอการวินิจฉัยของศาลก่อน เมื่อถามว่านายกฯระบุว่ามีทหารอีก 4 นายร่วมอยู่ในแผนการครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้ามั่นใจถึงขนาดนั้นก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ต้องมีการจับกุมทันที อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะ กล่าวหาใคร หรือตัดสินว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ แต่ อยากให้ทุกคนมองเหตุการณ์ในพื้นฐานของความเป็นจริง

อัดนายกฯปากไวชี้นำรูปคดี


นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้เกิดการวิจารณ์กันอย่างมากว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการสร้างสถานการณ์ โดยเกิดจาก 2 สาเหตุคือ 1. องค์ประกอบต่างๆทำให้เชื่อได้ว่าไม่น่าเป็นการลอบสังหาร 2. ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในตัวนายกฯและรัฐบาล ทำให้เหตุการณ์ใดที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริง จึงมีคำถามเกิดขึ้นมากมายเช่นพบระเบิดในรถต้องสงสัย แต่อีกไม่นานนายกฯก็ฟันธงว่าเป็นระเบิดที่ต้องการทำลายขบวนรถของนายกฯ ทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวน คำถามคือทำไมต้องรีบออกข่าวว่าระเบิดลอบสังหารนายกฯ แทนที่จะขยายผลไปถึงผู้บงการ และควรแสดงความรับผิดชอบที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดการขนระเบิดอานุภาพรุนแรงกลางเมืองหลวง รัฐควรมีมาตรการสืบสวนสอบสวนอย่างชัดเจนว่าระเบิดดังกล่าวมาจากหน่วยงานไหน

เสธ.หนั่น ฉะตำรวจทำเกินกว่าเหตุ


พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยขนระเบิดเตรียมลอบสังหารนายกรัฐมนตรีว่า ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นการสร้างสถานการณ์ เพราะไม่ได้เข้าไปใกล้ชิดกับสถานการณ์หรือการสอบสวนของตำรวจ แต่รู้สึกตำรวจสร้างสถานการณ์จนเกินขอบเขต จับทหารเพียงคนเดียว ตำรวจใช้กำลังพลเป็นร้อยไปหิ้วปีกยิ่งกว่าผู้ก่อการร้าย ขณะที่ผู้ต้องหาอ่อนเพลียยืนหมุนไปหมุนมา การกระทำของตำรวจต่อทหารควรให้ เกียรติกันบ้าง หรือแม้แต่ผู้ต้องหาที่เป็นประชาชนธรรมดา การประพฤติปฏิบัติต้องให้เขามีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ บ้าง ขอตำหนิตำรวจว่าเป็นการกระทำอันแสนทุเรศ ฝากถึง ผบ.ตร.ว่าการให้คนมาจับแบบฉุกเฉินแบบนี้ ทำไม่ถูกขั้นตอน แม้ตรวจพบวัตถุระเบิดที่มีอานุภาพรุนแรง แต่ ไม่รู้ว่าสอบสวนครบถ้วนจริงหรือไม่ เราได้ฟังแต่ตำรวจ ตำรวจอยากจับก็บอกว่าครบถ้วน คนไม่รู้เรื่องเลยออกมาพูดฉอดๆ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ไปใส่ว่าเป็นการลอบสังหารนายกฯ วันนี้รัฐบาลไม่ได้คำนึงถึงความแตกแยกของคนในชาติ และจะพาไปถึงความแตกแยกของข้าราชการทหารกับตำรวจ ต่อไปนี้จะเกิดการไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน เท่ากับซ้ำเติมสถานการณ์เข้าไปอีก

โวยปลด พัลลภ โดยไม่สอบสวน


ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเห็นอย่างไรที่เหตุการณ์ดังกล่าวมีการโยงไปถึง พล.อ.พัลลภ ปินมณี อดีตรอง ผอ.กอ.รมน. พล.ต.สนั่นตอบว่า ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ เคยเป็นคนขับรถของ พล.อ.พัลลภ ตำรวจจึงพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.พัลลภ แต่ยังไม่ทันมีการสอบสวนเลยว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ส่วน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เพื่อนร่วมรุ่น จปร.7 ได้ทำจดหมายเปิดผนึกไปแล้ว เมื่อถามว่ามีการโยงไปถึงทหารอีก 4 คน จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างทหารกับตำรวจรุนแรงขึ้นอีกหรือไม่ พล.ต.สนั่นตอบว่า ต้องดูข้อเท็จจริง แต่ไม่น่าจะมีใครคิดลอบสังหารนายกฯ ส่วนในหมู่ทหารจะมีความรู้สึกไม่ดีหรือไม่นั้น ตนเป็นอดีตทหารยังรู้สึกไม่ดีเลย เพราะดูแล้วยากจะเป็นไปได้ ดังนั้นต้องมีการสอบให้ชัดเจนว่าใครสั่งให้ไปขับรถออกจากสวนรื่นฤดี ต้องสอบให้ชัดว่าคนสั่งเป็นเพื่อนหรือผู้บังคับบัญชาระดับไหน แล้วจะกระจ่างว่าสร้างสถานการณ์ หรือลอบทำร้าย

เตือนอย่าลาก ป๋าเปรม มาเอี่ยว


พล.ต.สนั่นกล่าวว่า นอกจากนี้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพรรคไทยรักไทยที่มีการจัดตั้งกลุ่มรากหญ้าไปที่บ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อขอชีวิตนายกฯ เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง พล.อ.เปรมเป็นกลาง ไม่ลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ขอประณามคนที่จัดตั้งขบวนการลักษณะนี้ และเห็นว่าลิ่วล้อนายกฯที่ทำแบบนี้น่าจะถูกจับไปประหารชีวิตให้หมด ทั้งไอ้ห้อยไอ้โหนอย่าไปทำแบบนี้ พล.อ.เปรมไปบรรยายที่ไหนก็ให้ แต่ความอุ่นใจแก่บ้านเมือง เพราะฉะนั้นไปทำแบบนี้เท่ากับว่าประธานองคมนตรีเป็นผู้สั่งการ เรียกร้องว่าขอให้ หยุด นายกฯอาจไม่รู้เรื่อง แต่ไอ้ห้อยไอ้โหนที่เป็นลูกน้องทำเสียหายหมด

ประสงค์ เสวนาอัดแค่ละครจัดฉาก


ที่โรงแรมดิไอยรา อ.เมืองนครราชสีมา ในเวทีเสวนาทักษิณ ทำลายความมั่นคงของชาติ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวว่า ในฐานะที่เคยทำงานรับผิดชอบด้านการข่าว ตกใจเหมือนกันว่า ทำไมเขียนบทละครกันอย่างนี้ เพราะหละหลวมมากไม่รู้ ใครเป็นคนเขียน ผู้กำกับสร้างก็คงรู้สึกสะใจมากกว่าตกใจมีพิรุธ มีสิ่งที่ผิดสังเกตหลายต่อหลายเรื่อง รวบรัดตัดตอนรวดเร็วเหลือเกิน ยังไม่ทันรู้ว่าเป็นคาร์บอมบ์ แต่รู้แล้วว่าเป็นระเบิดในรถคันนั้นยังกับเอาไปวางเอง เท่าที่ตนตรวจสอบ เรียนให้ทราบเลยว่า ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะได้รับการขอร้องจากบางคนให้ไปรับรถที่จุดแถวไม่ห่างไกลจากบ้านนายกรัฐมนตรี ติดถนนจรัญสนิทวงศ์ ออกจากบ้านไปประมาณ 06.00 น. แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกรถออกมาตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ และข้อเท็จจริง ร.ท.ธวัชชัยขึ้นมอเตอร์ไซค์ รับจ้างไปยังที่ที่จะไปพบกับคนที่จะเอากุญแจให้มารับรถนั่งกินข้าวแล้วจึงมานั่งขับรถคันนั้น คนดูฉากละครฉากนี้ตกใจหมด

บอกทหารทั้งกองทัพคงมีความรู้สึก


ผมต้องการให้ตำรวจทำงานจริงจัง ตรงไปตรงมาหากมีพิรุธแบบนี้ผมถือว่าเป็นละครที่ไม่สมจริงสมจัง ปัญหาจะตกไปอยู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเอง รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการในวันนั้น แต่ถ้าเป็นจริงผมสนับสนุนการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้สังคมเสียหาย ความรู้สึกประชาชนเสียหาย ประเทศชาติเสียหาย กองทัพก็เสียหาย เพราะเขาเป็นนายทหาร ตำรวจไปปฏิบัติกับเขาด้วยการหิ้วปีกออกมาเหมือนกับเป็นกระต่ายตัวหนึ่ง และทำผิดระเบียบหมดเลย การที่กระทำกับทหารเช่นนั้น พรรคพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร แม้แต่ผมเป็นนายทหารนอกราชการผมเองก็รู้สึก และเชื่อว่า พี่น้องทหารทั้งกองทัพบก ทัพเรือและอากาศ ก็รู้สึก น.ต.ประสงค์กล่าว

อ.จุฬาฯแนะรัฐไม่ควรโฆษณาชวนเชื่อ


วันเดียวกัน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ได้จัดเสวนาหัวข้อ สังคมไทยจะยุติความรุนแรงโดยสันติวิธีได้อย่างไร โดยนายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เหตุการณ์ในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา เป็นเรื่องน่าเศร้าของสังคมไทยที่เคลื่อนตัวไปสู่ความรุนแรงถึงขั้นนำระเบิดเกือบ 70 กิโลกรัมมาใช้ คนที่สามารถนำมาได้ต้องเป็นคนที่มีอำนาจ แต่รัฐบาลไม่ควรสร้างความตื่นตระหนกให้ประชาชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ผ่านสื่อ ควรให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เป็นเพียงพลเรือน อาจจะไม่ใช่ตำรวจหรือทหาร เข้ามามีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลกับประชาชนหรือสังคมแทน สำหรับปรากฏการณ์ ความรุนแรงในลักษณะนี้ ในแวดวงวิชาการรัฐศาสตร์ถือว่าไม่แปลก รอบหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาใหญ่เชิงรัฐศาสตร์ คืออำนาจที่ไม่มีความเป็นธรรมหรือชอบธรรม โดยเฉพาะอำนาจใหม่ที่พยายามเข้ามาแย่งชิงอำนาจเก่า หากกลับไปย้อนดูช่วงจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็มีลักษณะการอ้างว่าลอบสังหาร จนมีการประหารชีวิต จำคุก ลี้ภัย แต่ความแตกต่างในการแย่งชิงอำนาจครั้งนี้ เป็นการแย่งชิงอำนาจของการเมือง กับอำนาจรัฐที่ผนึกกันแน่นและแย่งชิงอำนาจกับพลังประชาชนที่ซับซ้อน

สำรวจคนกรุงเชื่อว่าสร้างเรื่องเกือบครึ่ง


ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพล สถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เผยถึงผลการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง ประชาชนคิดอย่างไรกับเรื่องคาร์บอมบ์ หลังจากเก็บข้อมูลประชาชน ในกรุงเทพมหานครจำนวน 25 เขต และปริมณฑลจำนวน 3 จังหวัด กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้นจำนวน 1,174 คน เมื่อวันที่ 25-26 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้ผลสรุป คือประชาชนร้อยละ 85.8 ให้ความสนใจติดตามข่าวเรื่องคาร์บอมบ์ ขณะที่ร้อยละ 14.2 ไม่สนใจติดตาม มีเพียงร้อยละ 20.5 เชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการมุ่งปองร้ายต่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จริง ขณะที่ร้อยละ 49.8 เชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ (โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 60.6 เชื่อว่ากระทำโดยฝ่ายรัฐบาล ร้อยละ 20.3 เชื่อว่ากระทำโดยฝ่ายต่อต้านรัฐบาล และร้อยละ 19.1 เชื่อว่ากระทำโดยฝ่ายอื่นหรือมือที่สาม) ส่วนร้อยละ 29.6 ไม่แน่ใจ


นอกจากนี้ ร้อยละ 56.7 ระบุว่า


เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ส่งผลต่อความรู้สึกปลอดภัยในชีวิต และผู้ที่ประชาชนเห็นว่าน่าเห็นใจที่สุดจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ พล.อ. พัลลภ ปินมณี ร้อยละ 22.7 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 20.3 ประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ร้อยละ 12.1 ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ร้อยละ 11.8 และไม่มีใครน่าเห็นใจเลย ร้อยละ 33.1 สุดท้ายร้อยละ 47.5 เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลต่อคะแนนนิยมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่ร้อยละ 27.0 เห็นว่าจะส่งผลให้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น และร้อยละ 25.5 เห็นว่าจะส่งผลให้คะแนนนิยมลดลง



แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์