เปิดตัว ´รถไฟฟ้าประชาธิปัตย์´ ปชป.แถลงนโยบายขนส่งมวลชน

ไทยรัฐ

วันนี้ (27 ส.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค ทีมงานด้านกรุงเทพมหานคร (กทม.) และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรค รวมทั้งนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ร่วมกันเปิดตัวนโยบายด้านขนส่งมวลชนในคอนเซ็ปต์ รถไฟฟ้าประชาธิปัตย์

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ และคณะได้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส จากสถานีหมอชิต ไปยังสถานีพญาไท โดยขบวนรถไฟฟ้าที่โดยสารนั้น ได้ตกแต่งสกรีนนโยบายวาระประชาชนทั่วทั้งภายนอกและภายในรถไฟฟ้าทั้งขบวน ทำให้เป็นที่สนใจของประชาชนตลอดเส้นทาง จากนั้น คณะทั้งหมดได้เดินเท้าต่อจากสถานีรถไฟฟ้าพญาไท มาแถลงเปิดนโยบายที่ดีดาบาร์ ถ.ศรีอยุธยา

นายอภิสิทธิ์ แถลงว่า หลังจากมีนโยบายวาระประชาชนเฉพาะด้านออกมาแล้ว พรรคยังมีวาระประชาชนในมิติของพื้นที่ด้วย คือ นโยบายสำหรับคน กทม. และแยกตามภาคต่างๆ โดยในส่วนของ กทม. มีปัญหาสำคัญคือ ด้านการจราจร ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศ โดยปริมาณยานพาหนะที่กระจุกตัวอย่างแน่นหนาใน กทม. เฉพาะรถสี่ล้อมีประมาณ 2.5 ล้านคันต่อวัน ทำให้มีการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นทั้งเบนซิน ดีเซล ถึงร้อยละ 40-50 ประกอบกับมีปัญหาการจราจรติดขัด ทำให้ยิ่งสิ้นเปลืองพลังงาน ซึ่งพรรคได้รวบรวมข้อมูลนำมาปรับเป็นนโยบายขนส่งมวลชน ขอยืนยันไม่ใช่เรื่องโต้แย้งที่จะกลายเป็นประเด็นการเมือง หรือนำมาใช้เป็นประโยชน์ทางการเมือง หรือผลประโยชน์ธุรกิจเชิงพาณิชย์แอบแฝง

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า วาระประชาชนด้านขนส่งมวลชนของพรรคอยู่บนหลักคิดที่ต้องครอบคลุมทั่วพื้นที่เป็นโครงข่าย มีระบบหลัก ระบบรอง ที่จะป้อนผู้โดยสารเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่าย เพื่อให้เข้าถึงระบบได้สะดวก ที่สำคัญค่าโดยสารต้องเป็นไปตามระยะทาง และเป็นอัตราที่คนส่วนใหญ่ยอมรับได้ ทั้งนี้ 4 ปีที่ผ่านมา ระบบขนส่งมวลชนยังไม่มีการพัฒนาเป็นรูปธรรม ที่ทำได้มีเพียงส่วนต่อขยาย 2.2 กิโลเมตร สะพานตากสิน-ฝั่งธนบุรี เท่านั้น โดยตลอดเวลา 5 ปี ของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่มีการดำเนินการด้านขนส่งมวลชนเลย มีเพียงช่วงใกล้เลือกตั้งเมื่อปี 2548 ได้โฆษณาโครงการรถไฟฟ้า 10 สาย ในโครงการเมกะโปรเจกต์ และมาถึงขณะนี้เหลือเพียง 3 สาย แต่วันนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ มีเพียงระบบขนส่งมวลชนที่เชื่อมไปยังสนามบินสุวรรณภูมิเท่านั้น ส่วนการขนส่งมวลชนทั้งระบบยังไม่มีความชัดเจน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งแรกที่จะดำเนินการทันทีตามนโยบายด้านขนส่งมวลชน คือ จัดเก็บค่าโดยสารอย่างเป็นธรรม ยกเลิกการจัดเก็บที่ซ้ำซ้อน และจะเก็บเพียงครั้งเดียว เพราะขณะนี้ผู้โดยสารต้องจ่ายค่าโดยสารสองต่อเมื่อเปลี่ยนจากโครงการหนึ่งไปอีกโครงการหนึ่ง เช่น จากรถไฟฟ้าบนดินไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน เท่ากับเสียค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน ส่วนเรื่องเร่งด่วนที่จะดำเนินการนั้น เป็นการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเส้นทางขนส่งมวลชน 7 สาย จำนวน 139 กิโลเมตร ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 265,150 ล้านบาท หรือคิดเป็นงบฯลงทุน 1,908 ล้านบาทต่อกิโลเมตร ซึ่งทั้ง 7 สาย มีรายละเอียดเงินลงทุน ระยะเวลาเริ่มต้นการก่อสร้างและเสร็จสิ้น รวมทั้งมีหน่วยงานใดรับผิดชอบชัดเจน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เส้นทางทั้งหมดเชื่อมโยงครอบคลุมทั่วพื้นที่ ประ กอบด้วย 1.สายรังสิต-หัวลำโพง ระยะทาง 37 กิโลเมตร งบฯ ลงทุน 54,000 ล้านบาท ก่อสร้างระหว่างปี 2550-2552 2.พญาไท-อโศก-สนามบินสุวรรณภูมิ ระยะทาง 26.50 กิโลเมตร งบฯ ลงทุน 56,000 ล้านบาท ก่อสร้างระหว่างปี 2548-2551 3.ส่วนต่อขยายอ่อนนุช-สำโรง ระยะทาง 8.90 กิโลเมตร งบฯ 16,900 ล้านบาท ก่อสร้างระหว่างปี 2549-2552 4.สายหมอชิต-เกษตร-สะพานใหม่ ระยะทาง 12.10 กิโลเมตร งบฯ ลงทุน 22,500 ล้านบาท ก่อสร้างระหว่างปี 2550-2553 5.สะพานตากสิน-บางแค ระยะทาง 13 กิโลเมตร งบฯ ลงทุน 20,000 ล้านบาท ก่อสร้างระหว่างปี 2549-2553 6.บางซื่อ-ท่าพระ-หัวลำโพง ระยะทาง 19 กิโลเมตร งบฯ ลงทุน 53,000 ล้านบาท ก่อสร้างระหว่างปี 2550-2554 และ 7.เตาปูน-แคราย-บางใหญ่ ระยะทาง 22.50 กิโลเมตร งบฯ ลงทุน 42,750 ล้านบาท ก่อสร้างระหว่างปี 2551-2554

ทั้ง 7 สาย จะเชื่อมต่อเป็นวงแหวน และมีขาต่อขยายไปทิศต่าง ๆ อยู่บนหลักการที่ทำให้มีการขนส่งคนใน กทม.ได้มากที่สุด ซึ่งโครงการทั้ง 7 สาย เป็นประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ โดยจะขนส่งประชาชนได้เพิ่มขึ้น 1.5-2 ล้านคนต่อวัน รวมทั้งประหยัดพลังงาน และแก้ปัญหาจราจรใน กทม. และวิธีการลงทุนใน 7 โครงการนี้ พรรคขอเสนอแนวทางใหม่ โดยรัฐเป็นผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานแทน เพราะถ้าให้เอกชนลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน นักลงทุนมักต้องการผลตอบแทนรวมประมาณร้อยละ 10-15 และต้องรับภาระทั้งก่อสร้างโครงสร้างหลัก งานระบบ การวางรากสถานี และซื้อรถไฟ จะทำให้โอกาสคุ้มทุนเป็นไปได้ต่ำมาก และไม่มีใครกล้าลงทุน ดังนั้น นโยบายของพรรคคือ รัฐบาลจะทำโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนเอกชนจะเปิดให้เช่าระบบโครงสร้างพื้นฐานระยะยาวจากรัฐบาล และสามารถจะต่อเติมส่วนที่เหลือ อาทิ ราง หัวรถไฟ ระบบต่าง ๆ และการบริหารจัดการ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

สำหรับแหล่งเงินทุนที่รัฐบาลจะนำใช้ก่อสร้างนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะกู้เงินจากสถาบันการเงินข้ามชาติ อาทิ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากเจบิค (Japan Bank for International Cooperation) หรือจากงบฯ ของประเทศ และงบฯ กทม. จากนั้น เมื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 7 สายเสร็จ จะสามารถใช้เป็นทุนให้เกิดรายได้ และพัฒนาให้เป็นงบฯ ลงทุนส่วนต่อขยายได้อีก คือ 1.ให้เอกชนเช่าโครงสร้าง 7 สาย เพื่อนำรายได้จากการเช่ามาต่อยอดทำส่วนต่อขยาย 2.นำโครงสร้างพื้นฐานนี้มาทำเป็นกองทุนอสังหา ริมทรัพย์ 3.นำมาเป็นหลักทรัพย์ในการกู้เงิน 4.ใช้เป็นหลักทรัพย์ออกพันธบัตร 5.แปลงรายได้เป็นหุ้น ทั้งนี้ เมื่อรวมกับเงินลงทุนจากภาคเอกชน และเงินกู้จากสถาบันการเงินพิเศษ หรือรัฐบาล จะทำให้สร้างส่วนต่อขยายได้ครอบคลุมทั่วพื้นที่

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการแก้ปัญหาจราจรระบบรองนโยบายที่จะผลักดันทันทีคือ นำรถเมล์ด่วน (บีอาร์ที) เข้ามาทดแทนรถโดยสารปรับอากาศบนเส้นทางสายหลัก เพื่อให้เป็นโครงข่ายเดียวกัน รวมทั้งปรับแนวเส้นทางรถ ขสมก. ที่ทับซ้อนใหม่ อาทิ สุขุมวิท พหลโยธิน พญาไท เป็นต้น และทำระบบตั๋วต่อตั๋วระหว่าง ขสมก. กับระบบรถไฟฟ้า ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลจะโอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ขสมก. มาให้ กทม. ดูแล เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยง และทำเส้นทางรถไฟฟ้ากับ ขสมก. ให้เชื่อมโยงเป็นโครงข่าย

ด้านนายอภิรักษ์ กล่าวว่า กทม. จะผลักดันโครงการเชื่อมต่อเส้นทางเพื่อสอดรับกับนโยบาย อาทิ ปรับสภาพผิวทางเท้า บาทวิถี เพื่อให้สะดวกต่อผู้ขับขี่จักรยาน หรือผู้ที่โดยสารรถ ขสมก. และต่อระบบรถไฟฟ้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงท้ายเป็นการเปิดให้ซักถาม โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า วาระประชาชนด้านขนส่งมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ เน้นการเชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลกับ กทม. เป็นหลัก แต่หากในอนาคต กทม.เปลี่ยนแปลงผู้บริหารไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ จะทำให้เกิดอุปสรรคในการพัฒนาโครงข่าย เช่น ปัญหาที่เกิดกับรัฐบาลพรรคไทยรักไทยกับ กทม. ขณะนี้หรือไม่ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนผู้บริหาร กทม. ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะส่วนใหญ่ กทม. ของบฯ สนับสนุนจากรัฐ ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่า ถ้าเป็นรัฐบาลไม่ว่าผู้ว่าฯ กทม. จะสังกัดพรรคอื่น หรือเป็นสายอิสระไม่สังกัดพรรคใด จะไม่เป็นปัญหาในการดำเนินการ ที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์สามารถทำงานกับผู้ว่าฯ ที่ไม่ได้สังกัดพรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว ซึ่งนโยบายขนส่งมวลชนทั้ง 7 สาย ปฏิเสธไม่ได้ในเชิงเหตุผลที่จะไม่ดำเนินการ ดังนั้น ไม่ว่าผู้ว่าฯ กทม. จะอยู่พรรคใดก็น่าจะสนับสนุนโครงการนี้

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์