โผล่ออกมาตอบโต้อย่างร้อนรนสุดสุด "ศิริโชค โสภา" ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ คนสนิทนายกรัฐมนตรี
กับกระแสข่าวคนสนิทนายกฯล้วงโผโยกย้าย 152 นายพล พร้อมโยนข้อหากลับใส่คนใกล้ชิด พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่า ที่ออกอาการฮึดฮัด เนื่องจากไม่พอใจอาชีพเสริมของตัวเอง เจอ "ตอ"
กระแสข่าวเรื่องคนสนิทนายกฯเข้าวุ่นวายกับโผโยกย้ายแต่งตั้ง ผบ.ตร.ลือหึ่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติตลอดปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ความมั่นคงเก้าอี้ ผบ.ตร.ยังไม่ได้รับการคอนเฟิร์ม แต่ที่มีการยืนยันจากปาก "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เองคือ เจ้าตัวได้ลงนามยับยั้งโผโยกย้ายแต่งตั้ง 152 นายตำรวจไปแล้ว
ที่ผ่านมา คนสนิทนายกฯบางคนก็พยายามมา "แก้เกม" ด้วยการปล่อยข่าวว่า
ข่าวการล้วงๆ ควักๆ โผออกมาจากคนสนิท พล.ต.อ.พัชรวาท ซึ่งใครๆ พากันเรียกว่า "ป๋า" เพื่อทำลายฝ่ายการเมือง แต่เพราะเจ้าตัวขาดความรับผิดชอบ ไม่ยอมให้ "โค้ดชื่อ" จึงไม่มีนักข่าวคนใดให้ความสนใจนัก
พอสื่อหลายสำนักยืนยันตรงกันว่า ฝั่งสีกากีมีข้อมูลเด็ดเป็น "นามบัตร" ของนักการเมืองคนหนึ่ง แนบตั๋วรายชื่อ "เด็กฝาก" ยาวเป็นหางว่าว
ที่หากโชว์ออกมา รับรองว่าบางคนต้อง "สะอึก"
เหตุการณ์ "วอลล์เปเปอร์เดือด" จึงอุบัติขึ้น ที่ออกมาด่ากราด พร้อมขู่ฟ้องดะใครก็ตามที่พาดพิง โดยเฉพาะคนสนิทที่ชื่อ "ศิริโชค"
นาทีนี้ ประเด็นที่สังคมให้ความสนใจจึงเคลื่อนจากคดีลอบยิง "เดอะลิ้ม" นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตร มาเป็นคดี "ฆ่าตัดตอน" โผโยกย้าย 152 นายพล จาก "กองกำลังไม่ทราบฝ่าย" แทน!
จับอาการดื้อแพ่ง ของ พล.ต.อ.พัชรวาท ที่ออกมาให้สัมภาษณ์แบบ "คอนเวิร์ส" ไปคนละทางกับนายกฯอย่างสิ้นเชิง เรื่องคำสั่งเบรกโผโยกย้ายที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ไปแล้ว ที่เจ้าตัวขู่ว่า "ใครทำระวังติดคุก"
แย้งกับที่นายกฯอ้างว่า
การระงับส่งโผโยกย้าย มีเหตุผล 2 ข้อ 1.ต้องรอการปรับโครงสร้างใหม่ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติใหม่ และ 2.มีการเรียกรับผลประโยชน์
ซึ่งเรื่องหลัง แม้แต่เจ้าของ รหัส สร.1 ก็ยอมรับว่า "ไม่มีหลักฐาน"
แต่น่าสงสัยว่า เหตุใดคนสนิทนับเบอร์วัน อย่าง "ศิริโชค" จึงออกมาพูดชัดว่า นายกฯทราบเรื่องนี้ดี พร้อมแสดงความกังขาว่า ทำไม พล.ต.อ.พัชรวาท ถึงเก็บคนที่อยู่ในขบวนการค้า "ดาวบนบ่า" ไว้ใกล้ตัวโดยไม่จัดการ
คล้ายกับการชี้เป้าว่า หรือ ผบ.ตร.น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย???
แหล่งข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติยอมรับว่า ที่ผ่านมาการแต่งตั้งโยกย้ายมักจะให้โควต้า "ฝ่ายการเมือง" เสนอคนของตัวเข้ามา ต่อสัดส่วน "ตำรวจ" ในสัดส่วน 60 ต่อ 40
เบื้องหลังคนใกล้ชิด นายกฯ VS ผบ.ตร. ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
แต่เนื่องจากปีนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ มี "ฝ่ายการเมือง" หลายกลุ่มต้องการเข้ามาเอี่ยววงการสีกากีด้วย ทั้งพรรคสีฟ้า และพรรคสีน้ำเงิน ใต้สังกัดผู้ยิ่งใหญ่บุรีรัมย์
ทำให้อัตราส่วนคนของฝ่ายการเมืองต่อฝ่ายตำรวจ พุ่งไปที่ 80 ต่อ 20 ซึ่งเป็นธรรมชาติของการเมือง ยิ่งมีตำแหน่งมากขึ้น บรรดาเหลือบไรผู้เห็นโอกาสจึงเข้ามารุมทึ้งเป็นพัลวัน
ข่าวเรื่องการ "ขายเก้าอี้" อยู่ควบคู่กับโยกย้ายตำรวจมานานแล้ว และผู้ค้าไม่ได้มีเพียง "คนในเครื่องแบบ" เท่านั้น
ยังรวมถึงบรรดาผู้มีอำนาจ และ "คนใกล้ชิด" ผู้มีอำนาจบางคนด้วย
การออกมาสาวไส้กันเองของ "คนใกล้ชิดนายกฯ" และ "คนใกล้ชิด ผบ.ตร." ก็เป็นแค่ปรากฏการณ์ "ผีเห็นผี" เข้าทำนอง "ไก่เห็นตีนไก่ งูเห็นตีนงู" เรียกว่าทั้งสองฝ่ายต่างเขี้ยวพอๆ กัน
แต่เรื่องนี้ จะให้จบแบบ "เจ๊า" ไม่ได้ เมื่อสองฝ่ายต่างอ้างว่ามีหลักฐานเด็ด สังคมจึงควรจับตาว่า จะมีฝ่ายไหนงัด "ทีเด็ด" ออกมาแสดงหรือเปล่า หรือจะจบหยวนๆ กันไปแบบไทย-ไทย
หลอกให้ประชาชนที่ตามข่าวอยู่กลายเป็น "ตัวตลก"
น้ำหนักคำพูดของนายอภิสิทธิ์ที่ว่า ไม่มีคนใกล้ชิดเข้าไปเกี่ยวข้องกับโผโยกย้ายตำรวจ คล้ายการตัดตอนรอยเปื้อนไม่ให้มาถึงตน ผู้พยายามรักษาภาพ "เจ้าชายสะอาด" มากกว่า
ก็ในเมื่อให้สัมภาษณ์ว่า ไม่รู้ว่าโผโยกย้ายเป็นอย่างไร และไม่มีหลักฐานการเรียกรับผลประโยชน์ แล้วไปออกคำสั่งระงับการทูลเกล้าฯโผได้อย่างไร
แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จบอย่างไร ดูเหมือนคนที่ต้องน้ำตาตกในไปแล้ว ก็คือ "เดอะลิ้ม" ที่ถูกมองว่าอุตส่าห์ออกแรงเลื่อยขาเก้าอี้ ผบ.ตร.ด้วยตัวเอง อ้างข้อหาว่าเป็นอุปสรรคในคดีลอบสังหาร และเปิดข้อมูลทีมล่าสังหาร ที่ส่วนใหญ่เป็นทหารรบพิเศษ หวังกระแทก "รมว.กลาโหม-ผบ.ทบ." อีกคำรบ
แต่พอสู้กันไปสู้กันมาแค่พักเดียว กลับไม่มีผู้ชมคนใดติดตาม "บทละคร" ที่เจ้าตัวอุตส่าห์เขียนขึ้นมาแม้แต่คนเดียว