“ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเสนอ 2 แนวทาง เพื่อให้การทำงานของตำรวจเดินหน้าต่อไปได้ คือ ให้ระงับการแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติไว้ก่อน และในช่วงนี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีภารกิจในต่างประเทศ จึงขอลาประมาณ 10 วัน เมื่อกลับมาจะลาเพิ่มเติมในกรอบ 30 วัน เชื่อว่าช่วงเวลานี้เพียงพอให้ชุดสอบสวนคดียิงนายสนธิทำงานต่อไปได้ โดยไม่มีข้อครหาว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นอุปสรรคในการทำงาน”
นี่คือถ้อยแถลงของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต่อปมร้อนๆ กับเก้าอี้ ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
หลังจากตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่า
เป็นตอ ขวางคดีลอบยิง สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มพลังเสื้อเหลือง ที่ตั้งธงออกมากดดันให้รัฐบาล ปลด ผบ.ตร.
แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ใช้วิธีการเล่นเกมซื้อเวลา เพื่อต่อสายเคลียร์ปมปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มอำนาจที่สนับสนุนรัฐบาล
ผ่านฝีมือขั้นเทพของ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่วางแผนการนัดแนะให้ ผบ.ตร.ได้พบกับนายกรัฐมนตรีหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นที่งานเลี้ยงต้อนรับนักธุรกิจชาวไทยเสื้อสายจีน ที่พัทยา
กระแสข่าวลือรุนแรงจนถึงขั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พี่ชาย พล.ต.อ.พัชรวาท ต้องออกโรงเพื่อปกป้องน้องชายและตระกูล "วงษ์สุวรรณ" นั่นก็ยิ่งเพิ่มแรงเสียดทานทางการเมืองมากยิ่งขึ้น เพราะ "บิ๊กป้อม" กับพลังสีเขียวนั้น ใครก็รู้ว่าแนบแน่นแค่ไหน และเป็นคีย์แมน ที่ทำให้ประชาธิปัตย์มีวันนี้
ยิ่งนาทีนี้พลังสีเขียว ผนึกกำลังกับสีกากี บวกกับพลังสีน้ำเงินของ เนวิน ชิดชอบ รัฐบาลประชาธิปัตย์ก็ดูจะเป็นเพียง "หน้าร้าน" ที่วางของโชว์แขกเท่านั้น
แต่เกมอำนาจนั้น จะแรงหรือราบรื่นก็ขึ้นอยู่กับการแลกเปลี่ยน
เมื่อการเมืองภายนอกเขย่าเก้าอี้ ผบ.ตร.อันเนื่องมาจากคดียิงถล่ม สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่เกมอำนาจระหว่างรัฐบาลกับ ผบ.ตร.นั้นกลับเป็นเรื่องการจัดกำลังทัพสีกากี
เมื่อ "เกมอำนาจ" มาเจอกับ "เกมการเมือง" คดียิงถล่มสนธิ และ "ตอ" จึงถูกขยายใหญ่จนเกินจริง
ว่ากันว่า โผสีกากี "ขั้นเทพ" นั้นมีอยู่กว่า 300 รายชื่อ ขณะที่มีอยู่ในมือ สีกากี กลับมากเกือบ 300 รายชื่อ ...ไม่ต้องเดาว่า ชื่อจะเหมือนกันหรือไม่ เพราะถ้าเหมือนกัน ภาพของ "ตอ" ก็คงจะไม่ถูกขยายใหญ่เหมือนเช่นทุกวันนี้
นายกฯ อภิสิทธิ์ ก็คงไม่ออกมาพูดว่า ให้กลับไปทำโผสีกากีมาใหม่ และล่าสุด ถึงกับระบุตรงๆ ว่า คนที่จะต้องทำโผเป็นหลักคือ ผบ.ตร.คนใหม่ !
นี่เท่ากับยืนยันข่าวลือก่อนหน้านี้ว่า มีคนกั๊กจัดโผสีกากีอยู่คนเดียว !
ความจริง พล.ต.อ.พัชรวาท จะแข็งขืนก็ได้ หากว่า วันนี้ไม่มีเรื่องคดียิงถล่ม สนธิ และคดี 7 ตุลา ที่ ป.ป.ช.เพิ่มข้อกล่าวหามาให้
คดี 7 ตุลา ในแง่การเมืองอาจไม่เท่าไหร่ แต่คดียิงถล่ม สนธิ นั้น พล.ต.อ.พัชรวาท รู้ดีว่าแรงเขย่ารายวันมันรุนแรงแค่ไหน และน่าจะคาดเดาได้ด้วยว่า จะลุกลามไปถึงไหน หากไม่ตัดไฟเสียแต่ต้นลม กระทั่งพล.อ.ประวิตร ก็ไม่น่าจะรอดจากมรสุมนี้
แล้วก็คิดได้ง่ายเลยว่า เมื่อถึงตรงนั้นแล้วไม่ต้องเดาเลยว่า นายกฯ มาร์ค จะตัดสินใจอย่างไร
เงื่อนไข ผบ.ตร.ลาพักร้อนเป็นเวลา 1 เดือนเพื่อเบรกกระแสกดดันจากสังคม โดยเฉพาะพลังสีเหลือง จึงส่งผลดีกับรัฐบาลที่กำลังปะทะกับกลุ่มเสื้อแดงที่นัดชุมนุมอีกครั้ง โดยเฉพาะการนัดรวมพลทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันเสียงปืนแตก 7 สิงหาคม
การถอยคนละก้าว ด้วยการเดินทางไปต่างประเทศของ พล.ต.อ.พัชรวาท และน่าจะพักร้อนต่อหลังจากกลับมาจึงเป็นทางออกที่ดีแก่ทุกฝ่าย
ระยะเวลา 1 เดือนนี้ นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าจะทำให้คดียิงถล่ม สนธิ ก็น่าจะเดินหน้าไปได้และปราศจากข้อครหา
แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็มองได้ว่านี่เป็นเพียงเกมการยื้อเวลาเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความแตกแยกระหว่างพลังสีเขียว สีกากี สีเหลืองและสีน้ำเงิน ที่หนุนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยิ่งในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ จึงต้องรวมพลังกันอย่างเหนียวแน่น เพราะศัตรูตัวสำคัญยังชักใยอยู่ต่างแดน
ดังนั้นแนวทางนี้ จึงสมประโยชน์กันทุกฝ่าย และทำให้ทั้งพลังสีเขียว-สีเหลืองยอมรับได้
แต่หากมองอีกกระดานหนึ่งทางออกดังกล่าวนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะหนุ่มมาร์ค ไม่กล้าหักทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว
แต่เกมทั้งหมดเหมือนละครฉากใหญ่ที่ถูกเซ็ตขึ้นมา ที่สามารถครองหน้าสื่อได้เป็นสัปดาห์ จึงเหมือนเกมที่สร้างขึ้นมากลบข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงที่ประกาศสงครามรอบ 2 กับรัฐบาลด้วยการล่ารายชื่อทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ
เมื่อ "วิน วิน" กันทุกฝ่าย เรื่องจึงได้จบแบบแฮบปี้เอ็นดิ้งในที่สุด
บัญชา แข็งขัน / ยศวดี หงษ์ทอง