คดียิง "สนธิ" เริ่มคืบ ตำรวจเจอรถกระบะวีโก้ต้องสงสัยใช้ก่อเหตุจอดริมถนน ส่ง พฐ.เก็บลายนิ้วมือแฝง เส้นผม เส้นขนภายในรถตรวจสอบ พบสาวลูกจ้างชั่วคราวหน่วยรบพิเศษป่าหวายครอบครอง "ธานี" เรียกประชุมทีมสืบสวน ก่อนรายงานนายกฯ ขออนุมัติหมายจับจ่าพลาธิการรบพิเศษและตำรวจประทวน ปส. "อภิสิทธิ์" ลั่นไม่มีมวยล้ม ผบ.ทบ.ไฟเขียว ตร.ทำคดีเต็มที่ ด้านพันธมิตรฯ จับตาสางคดี หวั่นสาวไม่ถึงผู้บงการ
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. เวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเดินทางไปตรวจรถยนต์กระบะโตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ สีเลือดหมู หมายเลขทะเบียน บธ 1474 ลพบุรี ซึ่งเป็นรถต้องสงสัยในคดีคนร้ายลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เอเอสทีวี ผู้จัดการ หลังตำรวจฝ่ายสืบสวนนครบาล 1 ได้นำมาจอดไว้ที่กองบังคับการตำรวจจราจร ถนนวิภาวดี-รังสิต
มีรายงานว่า รถคันดังกล่าวถูกพบที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนฯ ซึ่งฝ่ายสืบสวนสอบสวนนครบาล 1 ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าลักษณะของรถคันดังกล่าวใกล้เคียงกับที่พยานยืนยันว่าเป็นรถที่เชื่อมโยงในคดียิงนายสนธิ โดยภายในรถมีขวดน้ำ แผ่นซีดี บัตรข้าราชการระบุชื่อ น.ส.รัศมี เมฆชัย ลูกจ้างชั่วคราวหน่วยรบพิเศษป่าหวาย จ.ลพบุรี จึงเชิญตัว น.ส.รัศมีมาสอบปากคำ จากนั้นให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานมาเก็บลายนิ้วมือแฝงภายในรถไว้ตรวจสอบ
เวลา 12.00 น. ได้มีทหารสังกัดหน่วยรบพิเศษของลพบุรี เดินทางมาที่ บก.จร. จำนวน 10 นาย เพื่อติดตามความคืบหน้าและสังเกตการตรวจสอบรถของเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานได้เก็บพยานหลักฐาน เส้นผม เส้นขน และกล่องหมากฝรั่งที่ตรวจได้จากรถยนต์ของกลาง มาตรวจพิสูจน์ที่สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ พล.ต.ท.ดนัยธร วงศ์ไทย ผบช.สนว.ตร. ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลการตรวจพิสูจน์รถดังกล่าว โดยระบุว่า ได้รับการประสานฝ่ายสืบสวนนครบาลให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเก็บหลักฐานในรถยนต์ต้องสงสัย ไม่ทราบเกี่ยวข้องคดีไหน เจ้าหน้าที่ได้เก็บพยานหลักฐานและวัตถุพยานเพื่อนำมาตรวจพิสูจน์ ส่วนรายละเอียดต้องสอบถามพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบคดีนี้เท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าในการตรวจสอบรถต้องสงสัยครั้งนี้ ไม่มีนายตำรวจระดับสูงคนใดเดินทางมาร่วมตรวจสอบ รวมทั้งเมื่อสอบถามตำรวจ พฐ.และตำรวจสืบสวนนครบาล 1 ต่างปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลใดๆ โดยระบุว่าเป็นคำสั่งของ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีลอบสังหารนายสนธิ ห้ามให้ตำรวจทุกหน่วยให้ข้อมูล
ต่อมาเวลา 14.00 น. พล.ต.อ.ธานีเรียกประชุมคณะทำงานคลี่คลายคดี ที่ห้องทำงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีรายงานว่า ในที่ประชุม พล.ต.อ.ธานีได้สั่งการให้พนักงานสอบสวนเดินทางไปขอศาลอนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 2 ราย เป็นนายทหารชั้นประทวน สังกัดศูนย์สงครามพิเศษลพบุรี ทราบเบื้องต้นชื่อ "ปัญญา" เป็นทหารยศจ่าสิบเอก สังกัดกองพลาธิการ ศูนย์สงครามพิเศษลพบุรี และนายตำรวจระดับชั้นประทวนสังกัด บช.ปส. ชื่อ "วุฒิ" ไม่ทราบนามสกุล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ต.อ.ธานีเดินทางออกจากสำนักงานโดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ โดยมีรายงานว่า พล.ต.อ.ธานีจะเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อรายงานคดีและเรื่องรถดังกล่าวให้กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบ
ที่ทำเนียบรัฐบาล เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ธานีเดินทางเข้าพบนายอภิสิทธิ์ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า หลังจากใช้เวลาประมาณ 20 นาที พล.ต.อ.ธานีเดินออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ไม่ได้มีการหารือกันมาก เป็นการหารือกันเรื่องสำนวน ส่วนเรื่องของระยะเวลาต้องใช้เวลาอีกนาน และในขณะนี้ก็ไม่ได้มีอุปสรรคในการทำงาน สามารถเดินหน้าต่อไปได้ และนายกรัฐมนตรีไม่ได้ฝากเรื่องอะไรเป็นพิเศษ รวมทั้งไม่ได้เร่งรัดอะไร
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การเดินทางเข้าพบของ พล.ต.อ.ธานี เป็นการติดตามเรื่องต่างๆ เพื่อสอบถามว่าท่านมีอุปสรรคการทำงานอะไรหรือไม่
เมื่อถามว่า ได้รับรายงานการออกหมายจับทหารและตำรวจ ผู้ต้องสงสัยยิงนายสนธิหรือยัง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้รับรายงานแล้ว ซักว่ายืนยันได้หรือไม่คดีนี้จะไม่มีมวยล้ม นายภิสิทธิ์กล่าวว่า "ไม่มีมวยล้ม"
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คดีนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ สำหรับตนมีหน้าที่เพียงอย่างเดียว คือสั่งการให้ดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องในคดีให้ได้ ส่วนเรื่องรายละเอียดให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ
มีรายงานข่าวแจ้งว่า เวลา 16.30 น. ศาลได้พิจารณาคำร้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ดังกล่าวจำนวน 2 ราย ตามที่ตำรวจร้องขอ ประกอบด้วย จ.ส.อ.ปัญญา สังกัดหน่วยพลาธิการ ศูนย์สงครามพิเศษ และ ส.ต.ท.วีระวุฒิ มุ่งสันติ สังกัดศูนย์ข่าว บช.ปส. ช่วยราชการกรมสอบสวนคดีพิเศษ
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวถึงกรณีศาลอนุมัติหมายจับทหารในคดีลอบยิงนายสนธิว่า ยังไม่ทราบเรื่อง แต่โดยหลักการตนเคยบอกไปแล้วว่าใครที่กระทำความผิด ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมได้เลย ซึ่งทางกองทัพให้การสนับสนุนไม่ว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยเฉพาะในเรื่องการดำเนินการตามกฎหมายที่สามารถดำเนินการได้เลย
เมื่อถามว่า เบื้องต้นมีการสั่งการให้ พล.ท.ภุชงค์ รัตนวรรณ ผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษ ให้ตรวจสอบที่มาของทหารคนดังกล่าวหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ เพราะมีขั้นตอนการดำเนินการอย่างไรที่ผู้บังคับบัญชาจะต้องทำ เช่น กรณีที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการขอตัวหรือมีการทำหนังสือมายังกองทัพ ทางกองทัพจะดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติ
ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ และเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า การออกหมายจับผู้ต้องหาลอบยิงนายสนธิ ทางพันธมิตรฯ และนายสนธิให้ความสนใจและติดตามเป็นพิเศษ เพราะว่าจะต้องดูกันต่อไปว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถดำเนินการจับกุมผู้ที่ออกหมายจับได้หรือไม่ และต้องติดตามต่อไปว่าคนที่ถูกจับกุมเป็นคนที่ลงมือหรือไม่ หรือเป็นแค่แพะ ที่สำคัญจะสามารถโยงถึงผู้บงการอยู่เบื้องหลังได้หรือไม่
"เพราะตามหมายจับ ผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ทหารกับตำรวจ เราก็กังวลว่าจะไม่สามารถสาวไปถึงผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคดีนี้ และก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.ธานีก็ระบุทำนองว่าคดีนี้เจอตอ ทำให้คณะทำงานหลายคนลำบากในการทำงาน แต่เมื่อมีการออกหมายจับตามที่เป็นข่าวก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และต้องชื่นชมทีมชุดสอบสวน" นายสุริยะใสกล่าว
ที่ศาลอาญา วันเดียวกัน เวลา 13.30 น. ศาลมีการพิจารณากรณีที่นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( พธม.) โดยนายณัฐพร โตประยูร ทนายความ เป็นโจทก์ ฟ้องนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เป็นจำเลยที่ 1-3 ต่อศาลอาญาฐานผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.91, 157 และ 200 กรณีมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกโจทก์กับพวกที่เป็นแกนนำและแนวร่วมพันธมิตรฯ ในข้อหาก่อการร้ายซึ่งรุนแรงเกินจริง จากการชุมนุมปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องในคดีดังกล่าว โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. หัวหน้าพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกและตั้งข้อหาโจทก์ตามฟ้องนั้น เป็นการกระทำของพนักงานสอบสวนซึ่งมีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งอำนาจการสอบสวนเป็นอำนาจแยกต่างหากจากอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน และแยกจากอำนาจการควบคุมดูแลและกำกับการปฏิบัติ ตลอดจนกำหนดนโยบายตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติของจำเลย การกระทำของ พล.ต.ท.วุฒิ กับจำเลยทั้งสาม ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ให้ยกฟ้อง
นายณัฐพรกล่าวว่า จะขอเวลาศึกษาข้อกฎหมายเพื่อพิจารณายื่นอุทธรณ์คำสั่งต่อไป เพราะเห็นว่าคดีนี้ศาลควรรับคดีไว้ก่อนไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนจะมีคำสั่งใดๆ
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนายกฯ และผู้บริหารระดับสูง ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและรับรู้การดำเนินคดีต่อกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะนายกฯ อยู่ในฐานะผู้บริหารสูงสุด แม้จะมีตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ก็ตาม ก็มีฐานะเป็นประธานตามโครงสร้างการบริหารองค์กรตำรวจ ไม่มีสิทธิใดๆ ที่จะแทรกแซงและก้าวล่วงไปยังการบริหารในด้านคดีความได้
"เมื่อวันนี้มีคำพิพากษายกคำร้องของผู้ถูกกล่าวหา ในคดีก่อการร้ายที่ฟ้องต่อนายกฯ รองนายกฯ และ ผบ.ตร.แล้ว ก็น่าที่จะเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมาย และลดความคลางแคลงใจต่อผู้ถูกกล่าวหาจากพี่น้องประชาชนได้ระดับหนึ่งว่าคดีนี้ไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแต่อย่างใด ทุกอย่างเป็นอิสระของการทำหน้าที่ของผู้ที่รับผิดชอบ รัฐบาลก็จะไม่แทรกแซงไม่ช่วยเหลือ" โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความของนายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ เข้ายื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.พัชรวาท เพื่อเรียกร้อง 3 เรื่อง คือ ขอให้ทบทวนการตั้งข้อกล่าวหาและให้มีคำสั่งยกเลิก เพิกถอน ข้อกล่าวหาทั้งหมด, แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ การใช้ดุลยพินิจของคณะพนักงานสอบสวนชุดปัจจุบันทั้งคณะ และพิจารณายุติการดำเนินการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวนชุดปัจจุบันทั้งคณะ จนกว่าการดำเนินการตรวจสอบเสร็จสิ้น
นายนิติธรกล่าวว่า การตั้งข้อกล่าวหาพนักงานสอบสวนมีหลายส่วนคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง แล้วก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าผู้ต้องหาทั้ง 27 คนนั้นใครมีหน้าที่อย่างไร มีการประชุมกันที่ไหน มีการแบ่งงานกันอย่างไร พฤติการแห่งคดีปรากฏแต่ข้อความว่านายกษิตได้ไปพูดแสดงความคิดเห็นบนเวทีของพันธมิตรฯ ที่สนามบินสุวรรณภูมิเพียงครั้งเดียว และการพูดแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิเสรีภาพที่ทำได้ แต่ข้อหาที่อ้างว่าเป็นการก่อการร้ายได้ดูองค์ประกอบในพฤติการณ์แห่งคดี ไม่ปรากฏว่านายกษิตได้ไปทำการอื่นใดในสนามบินสุวรรณภูมิ
"กฎหมายมาตรา 135/1 เป็นเรื่องของเจตนาเป็นสำคัญ เรื่องการก่อการร้ายมีองค์ประกอบเรื่องการรุนแรงการใช้อาวุธ เรื่องเป้าหมาย เรื่องวิธีการ ในต่างประเทศมีลักษณะการปิดสนามบิน ต้องดูเจตนาเป็นสำคัญ" ทนายความของนายกษิตกล่าว.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังพิมพ์ไทยโพสต์