ไม่อยากซ้ำเติมเลยแต่ไม่พูดก็คงไม่ได้ เกี่ยวกับการรับมือ "หวัด 2009" ของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด
เป็นตัวบ่งบอกอย่างดีว่าที่ผ่านมาเมืองไทยรับสถานการณ์หวัดนี้ได้แย่เพียงใด
ทั้งๆ ที่จะว่าไปแล้วตอนเกิดเรื่องนี้ใหม่ๆ ประเทศไทยถือว่าเป็นหางแถวที่จะโดน "พายุหวัด" กระหน่ำ
แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าเราเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบ รุนแรงที่สุดในเอเชีย
ขนาดจีนหรือญี่ปุ่นที่หวัดแพร่ใส่ก่อนเรา แถมเป็นประ เทศที่มีพลเมืองมากกว่าเราหลายเท่า ยังมียอดผู้เสียชีวิตน้อยกว่าเมืองไทย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการประเมินความรุนแรงไข้หวัด 2009 ของประเทศไทยนั้นต่ำกว่าความเป็นจริง
หากจำกันได้ตอนที่เกิดเรื่องใหม่ผู้บริหารประเทศ และผู้รับผิดชอบล้วนประสานเสียงในทำนองว่าก็แค่ไข้หวัดชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้น่ากลัวไปกว่าหวัดอื่นๆ ที่เราคุ้นเคย
ไม่รู้ว่าเพราะคิดแบบนี้หรือไม่ จึงทำให้มาตรการรับมือน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ทำให้ทุกวันนี้หวัด 2009 แพร่ระบาดไปทั่วประเทศแล้ว
มีการประเมินตัวเลขคร่าวๆ ว่า ถึงเดือนตุลาคมประเทศไทยน่าจะมีผู้ติดเชื้อหวัดนับแสนคน และอาจจะมีผู้เสียชีวิตมากถึง 600 คน
แต่ถ้ารับมือไม่ดียอดผู้เสียชีวิตจะพุ่งไปอีก 1 เท่าตัวคือ 1,200 คน!!!
พร้อมกันนี้มีการร้องเรียนผ่านช่องทางต่างๆ เกี่ยวกับ "หน้ากากอนามัย" ว่ากำลังกลายเป็น "เสนียด" ของคนกลุ่มหนึ่ง
เมื่อมีการร้องทุกข์ว่าผู้ให้บริการรถสาธารณะบางคน แสดงความรังเกียจคนที่ใช้หน้ากากอนามัย ปฏิเสธที่จะรับขึ้นรถ หรือคนขับรถแท็กซี่บางคนก็ถูกเมินจากผู้โดยสารที่โบกเรียก หากเห็นคนขับสวมหน้ากากอันนี้
ส่วนหนึ่งเชื่อว่าเพราะความเข้าใจผิดคิดว่า คนที่สวมหน้ากากอนามัยคือผู้ติดเชื้อ
รัฐบาลนอกจากจะรณรงค์ในเรื่องการป้องกันตัวแล้ว ยังควรเร่งทำความเข้าใจว่าผู้ที่สวมหน้ากากอนามัยเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง และเป็นสิ่งที่ควรทำตามอย่างยิ่ง
สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องหวัด 2009 หรือต้องการรู้วิธีรับมือ-ป้องกัน และความรู้เกี่ยวกับการดูแลตัวเองในภาวะเช่นนี้ แนะนำให้แวะไปร่วมงาน "มติชนเฮลท์แคร์" ระหว่างวันที่ 16-19 ก.ค.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โซนซี และโซนพลาซ่า
นอกจากหัวข้อใหญ่คือหวัด 2009 แล้ว ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง และรับมือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อีกเพียบ
ที่สำคัญฟรีทุกอย่าง