นอกจากเรื่องหวัด 2009 ที่ระบาดอย่างหนักในบ้านเราโดยไม่มีท่าทีจะจำกัดวงได้ในเวลาอันสั้น เรื่องราวของ "นาย กษิต ภิรมย์" รมว.ต่างประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งกระแสหลักใน ขณะนี้
เป็นที่รู้กันว่านายกษิตถูกออกหมายจับในคดีก่อการร้าย เพราะมีส่วนร่วมในม็อบพันธมิตรบุกยึด สนามบินสุวรรณภูมิ
ไม่ว่านายกษิต หรือเหล่าพันธมิตร ทั้งหลาย จะออกมาตั้งข้อสังเกตหรือวิพากษ์วิจารณ์ตำรวจในเชิงลบ เพื่อแก้เกี้ยวอย่างไรก็ตาม
ต้องยอมรับประการหนึ่งว่าการยึดสนามบินสุวรรณภูมิเกิดขึ้นจริงๆ
ภาพม็อบเสื้อเหลืองถือมีด-ไม้บุกเข้าไปอาละวาดในอาคารผู้โดยสาร การตั้งด่าน ขึงรั้วลวดหนามปิดกั้นถนนทางเข้าสนามบิน เป็นหลักฐานที่เห็นกันอยู่ทนโท่
ผู้บริหารสนามบินไม่ว่าจะสุวรรณภูมิ หรือที่ไหนในโลกเจอสถานการณ์แบบนี้หากไม่สั่งปิดสนามบินก็ใจเย็นเกินคน
หากตำรวจไม่ดำเนินคดีข้อหาก่อการร้าย จะให้จับคดีกีดขวางการจราจรหรืออย่างไร!?
การดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายไม่เพียงเพราะทำผิดตามกฎหมายไทยเท่านั้น แต่เกือบทุกสนามบินในโลกมีกฎหมายการบินระหว่างประเทศเป็นเกราะคุ้มกันอีกชั้นหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ การดำเนินคดีก่อการร้าย ยังถือเป็น การปรามกลุ่มคนหรือม็อบสีอะไรก็แล้วแต่ ที่อาจจะบุกยึดสนามบินซ้ำอีกหากไม่พอใจในปัญหาทางการเมือง หรือเพื่อใช้เป็นเครื่องต่อรองในเรื่องอื่นๆ
การดำเนินคดีกับพันธมิตร ในข้อหาก่อการร้าย ยังจะเป็นบรรทัดฐานถึงเหตุการณ์ในอนาคตอีกด้วย เพราะคดีนี้ต้องสู้ถึงศาลฎีกาแน่นอน
กระบวนการตามกฎหมายตั้งแต่ตำรวจ-อัยการ และศาล โดยเฉพาะเมื่อมีคำพิพากษาศาลฎีกาออกมา
คำพิพากษานี้จะถูกบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานอ้างอิง
ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็จะเป็นบทเรียนหรือกรณีตัวอย่างให้ม็อบรุ่นหลังๆ คิดถึงผลได้ผลเสียว่า หากจะยึดสนามบินระดับชาติเช่นสุวรรณภูมิ โดยใช้วิธีการเดียวกับม็อบพันธมิตรฯ เพื่อต่อรองเงื่อนไขที่ตัวเองต้องการ คุ้มค่ากับการเสี่ยงหรือไม่
รวมทั้งรอลุ้นว่าเมื่อถูกดำเนินคดีแล้วจะถูกลงโทษขนาดไหน หรือจะรอดพ้นจากความผิดทั้งปวง
แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้ใจขึ้นมานิดๆ ว่าการมีส่วนร่วมยึดสนามบินไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด
เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันแสดงให้เห็นแล้วว่า คนที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ยึดสนามบิน หรือขึ้นเวทีโชว์ลีลาด่าผู้นำต่างชาติว่าเป็น"ไอ้กุ๊ย"
มีสิทธิ์ได้นั่งเก้าอี้"รัฐมนตรี" เช่นกัน!?