นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามอย่างเป็นทางการ ในเวลา 12.30 น. วันที่ 10 ก.ค. ว่า จะมีการพบกับนายกรัฐมนตรีของเวียดนาม
เพื่อหารือถึงการกระชับความสัมพันธ์ ปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาค ตลอดจนปัญหาด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในไทย ส่งผลให้ความร่วมมือระหว่างกันในหลายด้านเกิดความล่าช้า โดยจะนำเสนอการสร้างกลไกความร่วมมือเฉพาะด้านที่ทั้ง 2 ประเทศเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการผลิตข้าว ที่ไทยและเวียดนามต่างเป็นผู้ผลิตและส่งออกที่สำคัญ ไม่ให้เกิดการตัดโอกาสกัน ตลอดจนหารือเรื่องการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ด้านถนนหรือระบบราง เพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในภูมิภาค ขณะที่ด้านการท่องเที่ยวจะหารือเพื่อร่วมกันดึงดูดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาค อื่นเข้ามาท่องเที่ยวได้ทั้งไทยและเวียดนามพร้อมกัน ทั้งนี้เชื่อว่าจะนำไปสู่ความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมได้
"กลไกที่น่าจะเกิดขึ้น ใหม่ควรมีปรึกษาหารือกัน ระหว่างผู้รับผิดชอบโดยตรง รวมไปถึงการประชุมของรัฐมนตรรีในกระทรวงสำคัญโดยมีผู้นำของรัฐบาลร่วมประชุม ด้วย ก็น่าจะเป็นแนวทางให้เกิดความร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรมได้" นายกรัฐมนตรี กล่าว และว่า รัฐบาลจะให้ความสนับสนุนภาคเอกชนให้มีความเข้มแข็งในการแข่งขันทางธุรกิจ ขณะเดียวกันจะเน้นสร้างความร่วมมือที่ดีกับเวียดนาม
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่เวียดนามจะเป็นประธานอาเซียนต่อจากประเทศไทย ในปี 2553 ว่า จะเป็นโอกาสดีที่จะส่งต่อประเด็นความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะมีกำหนดการเดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร (กองบิน 6-บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร โดยเที่ยวบินพิเศษของกองทัพบก ไปยังท่าอากาศยานนานาชาตินอยไบ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในการเยือนอย่างเป็นทางการ ในเวลา 12.30 น. พร้อมใช้โอกาสนี้เสนอสร้างกลไกความร่วมมือเฉพาะด้านที่ไทยและเวียดนาม เห็นว่ามีความสำคัญ โดยเฉพาะการผลิตข้าว ที่ทั้ง 2 ประเทศเป็นผู้ผลิตและส่งออกที่สำคัญ