หากจับสัญญาณชีพ กษิต ภิรมย์ ครั้งให้สัมภาษณ์สื่อ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552 ที่มีใจความว่า "หากมีหมายเรียก ผมต้องไปศาล ผมก็ต้องลาออกจากตำแหน่ง ผมไม่ได้ยึดติดกับเก้าอี้"
ถือเป็นถ้อยประกาศต่อสาธารณะที่ "กษิต" ได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดครั้งหนึ่ง หลังจาก "คั่วเก้าอี้ รมต." รับหน้าเสื่อขึ้นหลังเสือ แทนเพื่อนพันธมิตร เข้าร่วม "ครม.มาร์ค" ได้ไม่นาน แต่กลับเจอแรงเสียดทานทางการเมืองจาก "ศัตรูถาวร" อย่างไม่ว่างเว้น
ยิ่งเมื่อมหามิตร "คนเสื้อแดง"-"พรรคเพื่อไทย" สืบค้นเจอบทให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติที่ระบุใจความว่า "การปิดสนามบิน เป็นเรื่องสนุก เพราะอาหารดี ดนตรีไพเราะ" ยิ่งเป็นประเด็นโหมแรงไฟให้ "ศัตรูเก่า" ไล่บี้ขยี้รายวัน "รัฐมนตรีพะยี่ห้อพันธมิตร" มากยิ่งขึ้น
จึงไม่แปลก...หากผลโพลกว่าร้อยละ 60 จะบ่งชี้ชัดๆ ว่า "กษิต" ควรสละเก้าอี้อำลาตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ หลังจากถูกออกหมายเรียกฐานก่อการร้ายกรณีบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิร่วมกับเพื่อนพันธมิตรอีก 36 คน
เพราะตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา "เขา" คนนี้ถูกจัดเป็น "รัฐมนตรีสายล่อฟ้า" ที่ไม่มีฉนวนหุ้ม จึงก่อ "ชนวนร้อน" ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์นับครั้งไม่ถ้วน
แม้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเพื่อนร่วม ครม. จะออกมากางปีกป้อง แต่ทุกครั้งก็เอาตัวแทบไม่รอด
ลึกๆ แล้ว "กษิต" รู้ปัจจัยข้อนี้ดี แต่... ความที่เป็น "รัฐมนตรีโควต้าพันธมิตร" ทำให้ต้องคิดเรื่องนี้หลายตลบ โดยเฉพาะปัจจัยการลงจาก "หลังเสือ" หลังจากที่ "พญาเสือโคร่งตัวพ่อ" เริ่มสิ้นฤทธิ์
ประกอบกับห้วงเวลานี้ "เพื่อนร่วมรบ" อย่างพรรคประชาธิปัตย์ก็เริ่มตีตัวออกห่าง
ดังจะเห็นได้ชัดว่า ก่อนหน้านี้ไม่ช้าไม่นานเพื่อน "พันธมิตรร่วมค่าย" เจอคดีรุมเร้าทั่วทุกคน แต่เขากลับรอดมาอย่างหวุดหวิด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยู่ร่วม "ครม.อภิสิทธิ์" ประกอบกับความสัมพันธ์ระหว่างแกนนำพันธมิตร กับ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรี ยังไม่ขมปี๋
แต่ความสัมพันธ์ของแกนนำพันธมิตรและแกนนำรัฐบาล "วันนั้น" กับ "วินาทีนี้" ไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว
งานนี้ "กษิต" จึงได้รับผลกระทบกับความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการ "ดัดหลัง" ฐานสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีใจภักดิ์ให้พันธมิตรไปอย่างเต็มเต็ง
เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า งานนี้ใครเป็นคน "ไฟเขียว" ให้นายตำรวจใหญ่ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยัดชื่อ "กษิต" ให้เป็นหนึ่งในผู้ก่อการร้าย!!
และดูเหมือนว่า "สุรพงษ์ ชัยนาม" เพื่อน เก่า-มิตรคนเดิม จะอ่านสัญญาณร้ายนี้ออก ถึงกับออกปากว่า "เดิมไม่มีชื่อนายกษิต แต่มาถูกเพิ่มชื่อภายหลัง" การทู่ซี้อยู่ต่อของ "กษิต" ทั้งๆ ที่กระแสสังคมไม่เอา จึงถือเป็น การยอมแลกระหว่าง "เกียรติยศชื่อเสียง" ที่สั่งสมมาแต่ครั้งอดีตเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่กับ "ความเชื่อทางการเมืองที่ต้องยืนหยัด"
หาก "กษิต" ตัดสินใจทิ้งเก้าอี้อำลา "ครม. มาร์ค" เพื่อรักษาคำสัตย์ที่เคยให้ไว้ต่อสาธารณะ แม้จะเป็นการตอบสนองบทบัญญัติ 9 ประการของ "อภิสิทธิ์" ที่ต้องการสร้างบรรทัดฐานทางจริยธรรมของนักการเมืองรุ่นใหม่ อีกทั้งจะสามารถรักษา "ภาพพจน์ของรัฐบาล" ได้ แต่กลับเป็นหนทางที่เลือกไม่ได้
เพราะการก้าวเข้าสู่สนามการเมืองในห้วงเวลานี้ เปรียบเสมือนการเดินเข้าสู่ลู่วิ่งที่หยุดไม่ได้ !!
แม้กระแสสังคมที่เรียกร้องให้ลาออก จะเป็นการปูทางให้ "กษิต" ทิ้งเก้าอี้อย่างไม่เสียหน้า แต่การกลืนน้ำลายตัวเองในวันนี้... ดูเหมือนจะเป็นการง่ายกว่าการสละเรือ แล้วต้องไปเจอพายุใหญ่ที่ตั้งเค้าอยู่เบื้องหน้า
เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า ถ้าหากทิ้งเก้าอี้ตัวนี้แล้ว ชะตากรรมที่เขาและเพื่อนพันธมิตร จะต้องประสบคงไม่ได้มีเพียง "ข้อหาก่อการร้าย" เท่านั้น แต่ยังจะมีคดีใหญ่ๆ ตามมาอีกหลายระลอก
ภารกิจของ "กษิต" วันนี้ จึงใหญ่กว่าการรุกไล่ "ระบอบทักษิณ" ให้พ้นเมือง
การประกาศยืนหยัดอยู่ในตำแหน่ง ณ วันนี้ เพียงเพื่อซื้อเวลาตั้งหลักรับพายุใหญ่ที่จะตามมา...
กษิตประกาศเกาะเก้าอี้ ซื้อเวลา...รับชะตากรรม
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง กษิตประกาศเกาะเก้าอี้ ซื้อเวลา...รับชะตากรรม