นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้ความเห็นกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียกนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ข้อหาก่อการร้าย จากการปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อครั้งร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า นากษิตพูดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า ถ้าถูกแจ้งข้อหาก็จะลาออก ดังนั้น จึงต้องดูสปิริตขอนายกษิตว่าจะทำตามคำพูดหรือไม่ นอกจากนี้ นายนพดล ยังเห็นว่า นายกรัฐมนตรีควรจะขอให้นายกษิตได้พิจารณาตัวเอง เพื่อออกไปสู้คดี เพื่อความสง่างาม และยังทำให้กฎ 9 ข้อของนายกรัฐมนตรี มีความศักดิ์สิทธิ์
“กรณีของนายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มีเพียงข้อกล่าวหากรณีปลากระป๋องเน่าในถุงยังชีพเท่านั้น ยังไม่มีการดำเนินคดีอะไร นายกรัฐมนตรียังได้ขอให้ออกจากตำแหน่ง ดังนั้น กรณีของนายกษิตก็ควรเป็นเช่นเดียวกัน แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของรัฐมนตรีต่างประเทศด้วย” นายนพดล กล่าว
นายนพดล ย้ำว่า กรณีของนายกษิต เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานมานาน ไม่ใช่คดีที่ลึกลับซับซ้อน
และนายกษิตก็ยอมรับว่า ไปร่วมชุมนุมด้วย ข้อเท็จจริงไม่มีการโต้แย้ง และสามารถพิสูจน์ได้ง่าย ทั้งภาพถ่าย และข้อสรุปความเสียหายของกระทรวงคมนาคม กว่า 20,000 ล้านบาท ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงควรจะพิจารณา “กรณีนี้คุณกษิตควรต้องออก หรืออยู่ในตำแหน่งต่อไป นายกรัฐมนตรีก็ควรใช้มาตรฐานเดียวกัน ผมเห็นว่าหากนายกษิตอยู่ในตำแหน่งต่อไป ยิ่งเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ โดยเฉพาะในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพ ที่ จ.ภูเก็ต ในเดือนนี้” นายนพดล กล่าว
นายนพดล กล่าวว่า ข้อกล่าวหานายกษิตค่อนข้างรุนแรง เพราะเป็นข้อกล่าวหาก่อการร้าย
เกรงจะกระทบกับน้ำหนักการเจรจา และความเชื่อมั่นกับประเทศคู่ค้า คู่เจรจา และมิตรประเทศต่างๆ และจะเห็นได้ว่า ในช่วงหลัง นายกษิตไม่ค่อยออกงาน แม้แต่การเจรจาปัญหากับกัมพูชา ก็ให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เป็นผู้เจรจาแทน.-สำนักข่าวไทย