วันนี้ (5 ก.ค.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวถึงผลงานรัฐบาล 6 เดือนที่ผ่านมาว่า
พรรคเพื่อไทยได้ประเมินการบริหารงานด้านเศรษฐกิจ สังคมความมั่นคง ต่างประเทศ และการเมือง พบว่ารัฐบาลสอบตกทั้งหมด เพราะรัฐบาลไม่ทำอะไรนอกจากกู้เงินสร้างหนี้ ไล่บี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แก้ปัญหาการเมืองยังมีการแบ่งสีแบ่งฝ่าย และหลังจากมีคณะกรรมการสมานฉันท์ ที่ทุกพรรคการเมืองเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 237 แต่นายกฯกลับเห็นต่าง สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจแก้ปัญหา ซื้อเวลาเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์
นายพร้อมพงศ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีพนักงานสอบสวนออกหมายเรียกแกนนำพันธมิตรฯ รวมทั้งนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ
ที่บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองนั้น นายกษิต เคยระบุว่าหากโดนแจ้งข้อหาจะลาออกจากตำแหน่ง ดังนั้นพรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้นายกษิตลาออก และให้นายอภิสิทธิ์ พิจารณาเรื่องนี้ด้วย ไม่ใช่ซื้อเวลา เนื่องจากเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง และฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มาตรา 9 ขณะที่การประชุมอาเซียนที่ จ.ภูเก็ต กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 17 – 23 ก.ค. หากมี รมว.ต่างประเทศ ที่ถูกดำเนินคดีข้อหารุนแรง จะทำให้ประเทศไทยขาดความสง่างาม
พท.จี้กษิตแสดงสปิริตลาออก ชี้รัฐควรปรับ ครม.
นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสเรียกร้องให้นายกษิต ลาออกว่า เป็นอำนาจของนายกฯ และต้องถือโอกาสนี้ปรับครม.
เพื่อดึงมืออาชีพเข้ามาทำงาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน เพราะการบริหารงาน 6 เดือนที่ผ่านมา มีผลงานแค่กู้เงิน และไล่ล่าตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ขอเรียกร้องนายกฯอย่าไปกลัวที่จะปรับ ครม. ถ้ากลัวก็ประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้แก่ประชาชน นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่หัวหน้าพนักงานสอบสอนออกหมายเรียกและแจ้งข้อหาผู้ที่ร่วมกระทำผิดปิดล้อมสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป บุกรุกสถานที่ราชการ มความผิดตามพ.ร.บ.ว่าดวยการเดินอากาศยาน และข้อหาก่อการร้ายสากล โดยนายกษิต เป็นหนึ่งในนั้นว่า นายกษิตควรจะต้องแสดงสปิริต เพราะเคยพูดไว้เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมาว่า ถ้าโดนแจ้งข้อหาจะลาออกจากตำแหน่ง และในประเทศที่พัฒนาแล้วรัฐมนตรีที่ถูกข้อกล่าวหาที่รุนแรงเช่นนี้ จะคำนึงถึงภาพลักษณ์ของประเทศมากว่าบุคคลโดยแสดงสปริตด้วยการลาออก แต่จิตสำนักของแต่ละคนไม่เท่ากัน สุดท้ายเชื่อว่าคงอยู่ในตำแหน่งลำบาก เพราะนายกฯเขียนกฎ 9 ข้อ หนึ่งในนั้นระบุว่าว่า ความรับผิดชอบทางการเมืองสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย นายกฯต้องใช้ความกล้าหาญนำบุคคลที่เหมาะสม มีภาพลักษณ์ดีมาแทน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากต่างประเทศกลับมา
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีรมว.ต่างประเทศ ถูกออกหมายเรียกกรณียึดสนามบินสุวรรณภูมิว่า กรณีนายกษิตไม่น่าจะะเป็นรมว.ต่างประเทศมาตั้งแต่ต้น
เพราะถูกข้อกล่าวหาร้ายแรง แต่นายกฯคงเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่จึงให้เป็นรมว.ต่างประเทศ จึงขอเรียกความรับผิดชอบต่อนายกฯว่า ควรจะหาที่ทางว่าจะเอาหนาไว้ที่ไหน การจะไปเรียกร้องให้ปลดนายกษิตก็แค่นั้น เป็นเรื่องที่ล้าสมัย ทั้งนี้เมื่อนายกษิตเป็นข่าว ก็อยากรู้ว่าจะไปชี้แจงกับทูตประเทศต่างๆอย่างไร ถ้าจะไปประชุมแก้ไขปัญหาการก่อการร้าย จะไปอธิบายอย่างไร
นายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน และกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่ 19 ประธานสาขาพรรคที่เป็นตัวแทนเกือบทุกจังหวัดในภาคอีสานมาหารือและให้กำลังใจ
เห็นด้วยกับแนวทางของตนว่าถ้าให้พรรคการเมืองอื่นมาดูแลหรือสู้แทนพรรค ประชาธิปัตย์ในภาคอีสานก็พร้อมลาออก รวมถึงตนที่จะลาออกจากส.ส. ถ้าไม่มีก็ต้องช่วยกันทำงานต่อไป แต่ตอนนี้ส.ส.เขาอัดอัดกัน เพราะการทำกิจกรรมในภาคอีสานมันเงียบๆ ดังนั้นทุกคนต้องทุ่มเทด้วยกัน รวมถึงนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัน รองหัวหน้าพรรค ที่ดูแลภาคอีสานด้วย และพรรคต้องให้ความสนใจในภาคอีสาน รัฐมนตรีของพรรคก็ต้องลงพื้นที่อย่างหนักด้วย ถ้ากลัวเสื้อแดงก็อย่าเป็นเสียดีกว่า
เมื่อถามอีกว่ารวมถึงนายกฯด้วยหรือไม่ นายสุทัศน์ตอบว่า ไม่อยากจะพูด ที่ออกมาเคลื่อนไหวขอยืนยันไม่ต้องการย้ายพรรค และไม่ได้รับงานใครมาอย่างแน่นอน
แม้พรรคเพื่อไทยชวนไปอยู่ด้วย ก็ขอขอบคุณ คงไม่ไปหรอก ในส่วนกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ดูแลฝ่ายความมั่นคง ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าตนต้องเรียนรู้การเมืองอีกเยอะนั้น ก็ไม่ได้ว่าอะไร เมื่อเลขาธิการพรรคบอกมาก็ต้องรับฟัง และขอบคุณท่าน เราเรียนรู้น้อยก็ได้พูดไปตามความจริง ไม่อยากพูดโกหกหรือไม่พูดเมื่อถูกนักข่าวถาม