ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. เวลา 10.00 น.พลโทวิบูลศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2
กล่าวภายหลังเป็นประธานการกล่าวปฏิญาณตนต่อต้านยาเสพติดของกลุ่มพลังมวลชนเนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลกของกองทัพภาคที่ 2 ที่ลานนวมินทร์ สวนน้ำบุ่งตาหลั่ว อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา ถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านปราสาทเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ โดยเฉพาะกรณีที่สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาประกาศที่จะไม่เจรจา กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯและพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมและฝ่ายความมั่นคงของประเทศไทย รวมทั้งผลการเดินทางไปที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ เพื่อเจรจาหารือกับ ผบ.กองกำลังทหารภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชา เมื่อเย็นวันที่ 25 มิ.ย. ว่า สำหรับการเดินทางไปพบกับ ผบช.กำลังทหารภูมิภาคที่ 4 กัมพูชานั้น เป็นการไปหารือถึงการประชุมของทหารในระดับภูมิภาค ผู้ปฏิบัติ ถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนระหว่างทั้ง2ประเทศ ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 2 จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหารือในปลายเดือน ก.ค.52 นี้ที่ จ.นครราชสีมา เพื่อสรุปปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข สาระสำคัญในการประชุมหารือคือเรื่องการปรับกำลังทหารของทั้ง 2 ประเทศ ให้เหมาะสม เนื่องจากที่ผ่านมาทหารทั้ง 2 ประเทศได้เคลื่อนกำลังเข้าหากันซึ่งหากไม่มีการแก้ไขปัญหาอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้รวมทั้งเพื่อลดความตรึงเครียดของทหารทั้ง 2 ประเทศ ไม่ให้มีการเผชิญหน้ากันมากจนเกินไป
เมื่อถามว่าการที่สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาประกาศที่จะไม่เจรจากับฝ่ายมั่นคงของฝ่ายไทยนั้นจะส่งผลกระทบและสร้างความตรึงเครียดให้กับตามแนวชายแดนหรือไม่นั้น
แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องในระดับนโยบาย ส่วนผู้ปฏิบัตินั้นยอมรับว่ารู้สึกหนักใจ เนื่องจากขณะนี้ทหารทั้ง 2 ประเทศมีการเผชิญหน้ากันตลอดเวลา ส่วนในระดับนโยบายของ 2 ประเทศน่าจะหาทางแก้ไขปัญหา ส่วนผู้ปฏิบัติจะต้องปฏิบัติตามนโยบายอยู่แล้ว แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์แนวชายแดนขณะนี้ในผู้ปฏิบัติเองยังสามารถพูดคุยกันได้ แต่หากสถานการณ์บานปลายถึงขั้นมีความขัดแย้งระหว่างกำลังทหารสถานการณ์อาจจะเกิดความรุนแรงและอาจจะเกิดการปะทะกันได้ ดังนั้นในระดับนโยบายจึงต้องรีบหาทางแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ ทั้งนี้ขณะนี้สถานการณ์ยังดีอยู่กำลังทหารของไทยได้มีการวางกำลังไว้พร้อมทุกจุดแล้วเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ในส่วนการถอนกำลังทหารตามแนวชายแดนของฝ่ายไทยนั้นยืนยันว่าจะไม่มีการถอนกำลังทหารออกอย่างแน่นอนหากจะมีการถอนกำลังจะต้องมีการหารือกันระหว่างผู้ปฏิบัติของทั้ง 2 ประเทศเพื่อการปรับลดกำลังให้เท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตามพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาทหารบก ได้มีการกำชับว่าทหารฝ่ายไทยจะไม่มีการรุกรานหรือใช้ความรุนแรงก่อน แต่หากมีการใช้ความรุนแรงกับทหารไทยก่อนเราก็จะมีการตอบโต้ทันที อย่างไรก็ตามในระดับผู้ปฏิบัติในพื้นที่ตนเองยืนยันว่าสถานการณ์ขณะนี้ยังสามารถพูดคุยกันได้ แต่ในระดับรัฐบาลผู้ปฏิบัติยังรอฟังอยู่ว่าจะมีการเจรจาอย่างไรหากในระดับสูงมีการเจรจากันได้ในระดับพื้นที่ก็จะลดความตรึงเครียดไปได้ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว
มทภ.2 หนักใจฮุนเซนประกาศกร้าวไม่เจรจาผู้นำไทย
ด้านนายปองพล อดิเรกสาร อดีตประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก กล่าวว่า ความวุ่นวายและความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชา
ในขณะนี้เกิดจากรัฐบาลผูกโยงเอาเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกกับข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนมารวมกันจนทำให้เหตุการณ์ดูเหมือนจะยิ่งบานปลายมากขึ้น รวมทั้งการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาต่อยูเนสโก โดยส่งนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้แทนไทยไปยื่นหนังสือคัดค้านในที่ประชุมของคณะกรรมการมรดกโลก ที่เมืองเซบีญา ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 23-30 มิถุนายน ตนมองว่าการส่งนายสุวิทย์ไปครั้งนี้จะไม่มีประโยชน์อะไร และเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง มันสายเกินไปที่จะยื่นคัดค้าน เพราะยูเนสโกได้พิจารณาและตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว
นายปองพล กล่าวต่อว่า การประชุมของคณะกรรมการมรดกโลกที่เมืองเซบีญา ไม่มีวาระเกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร ที่สำคัญไทยไม่ได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการมรดกโลก 21 ประเทศ
ดังนั้นการไปร่วมประชุมของนายสุวิทย์ ไปแค่ในฐานะประเทศสมาชิกภาคีและผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ไม่มีอำนาจที่จะแสดงความคิดเห็นหรือแถลงคัดค้าน ต้องรอจนกว่าประธานคณะกรรมการมรดกโลกจะอนุญาต ส่วนกรณีที่รัฐบาลคิดว่าการยื่นคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แล้วจะทำให้กัมพูชาอาจยอมรับให้ไทยขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน เป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง ตนเชื่อว่ากัมพูชาคงไม่เอาด้วย เห็นได้จากท่าทีของสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
"ผมอยากแนะนำให้รัฐบาลนิ่งและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดว่ากัมพูชาจะแก้ปัญหาและทำอย่างไรกับการจัดทำแผนบริหารจัดการและพัฒนาปราสาทพระวิหาร ในส่วนของพื้นที่ชั้นในหรือคอร์โซน และพื้นที่กันชนหรือบัพเฟอร์โซน เนื่องจากพื้นที่บางส่วนทับซ้อนและยังมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนกับประเทศไทยอยู่ รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ (International Coordinating Committee หรือ ICC) ด้วย" นายปองพล กล่าว
นายปองพล กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากยูเนสโกมีมติให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ได้สั่งให้กัมพูชากลับมาทำแผนบริหารจัดการและพัฒนาปราสาทพระวิหารและตั้งคณะกรรการ ICC
และให้ส่งยูเนสโกภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ปรากฏว่ากัมพูชาไม่สามารถจัดทำแผนดังกล่าวเสร็จ และได้ขอเลื่อนส่งแผนมาเป็นเดือนพฤษภาคม 2551 แต่กัมพูชาก็ยังไม่สามารถจัดทำแผนดังกล่าวเสร็จอีกครั้ง ซึ่งตนมองว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อน เพื่อป้องกันไม่ให้ไทยเสียดินแดน รวมทั้งต้องรอดูว่าคณะกรรมการยูเนสโกจะทำอย่างไรหากกัมพูชาไม่สามารถจัดทำแผนบริหารจัดการและพัฒนาปราสาทพระวิหาร รวมทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการ ICC ได้