แหล่งข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนดังกล่าวในเรื่องการใช้สื่อสารมวลชนเป็นเครื่องมือว่า
นอกจากจะใช้สื่อเทียมทั้งโทรทัศน์ดาวเทียม และการออกหนังสือพิมพ์เฉพาะกาลอย่าง “เรดนิวส์” แล้วยังจะใช้สื่อสารมวลชนต่างประเทศกดดันประเทศไทย ผ่านบริษัทล็อบบี้ยิสต์โดยมีเป้าหมายให้พ.ต.ท.ทักษิณและนายจักรภพ เพ็ญแข สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง รวมไปถึงการสร้างข่าวลือเพื่อขยายผลทางจิตวิทยา เช่น ข่าวด้านลบของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ในเรื่องทุจริตคอรัปชั่นและเรื่องชู้สาว สร้างข่าวความขัดแย้งและความแตกแยกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้งจะมีการแทรกแซงหน่วยงานข่าวของรัฐ โดยใช้เครือข่ายบุคลากรสายข่าวในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฝังตัวอยู่ทั้งในสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ตำรวจสันติบาล ไปจนถึงศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ หรือ ศรภ. ด้วยการสร้างข่าวลือ ปล่อยข่าวลวง เพื่อสร้างความสับสนให้กับรัฐบาลจนกำหนดแผนงานและยุทธวิธีที่ผิดพลาดด้วย
“ที่เลวร้ายที่สุดคือยุทธวิธีที่ 5 ในการสร้างสงครามทางการเมือง ที่จะใช้ทั้งเวทีในสภาและนอกสภา ซึ่งมีการระบุว่าสามารถยึดกุมความคิดของกลุ่มส.ว.เลือกตั้งและส.ว.สรรหาบางคนได้แล้ว ให้คนเหล่านี้ร่วมกับพรรคเพื่อไทยโจมตีรัฐบาลในสภา จนทำให้ประชาชนสิ้นหวังนำไปสู่การยุบสภา นอกจากนี้ยังใช้เครือข่ายความสัมพันธ์และเงินทุน สนับสนุนการก่อความรุนแรงในชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างแรงกดดันรอบด้านในรัฐบาล โดยเริ่มมีการเข้าไปดำเนินการเรื่องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว ซึ่งตามแผนตากสิน2 อ้างว่ามีการใช้ศูนย์บัญชาการเสริมอยู่ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ และจะใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวสร้างความขัดแย้งบริเวณชายแดน ขยายข้อพิพาทปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เพื่อเป็นตัวเร่งให้เกิดการปะทะกันทางทหาร รวมทั้งใช้สถานการณ์ปราบปรามชนกลุ่มน้อยของพม่า กดดันสร้างความวุ่นวายบริเวณชายแดนด้านตะวันตกของไทย และยังมีการกำหนดแผนเคลื่อนไหวกดดันประเทศไทยบริเวณชายแดนภาคเหนือของไทยตามแนวเขตพรมแดนประเทศจีนด้วย” แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับยุทธวิธีสุดท้ายในการพิชิตศึกตามแผนตากสิน2 ทุบหม้อข้าว ตีเมืองจันทร์ ได้มีการสรุปบทเรียนความพ่ายแพ้
ในกรณีเหตุการณ์ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ด้วยการแปรความคับแค้นเป็นพลังในการจัดตั้งมวลชนตามหัวเมืองต่าง ๆ จัดกิจกรรมชุมนุมโดยให้ พ.ต.ท. ทักษิณ โฟนอินเพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจ และจัดตั้งกลุ่มรักษาความปลอดภัย ฝึกฝนอาวุธร่วมกับกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในเขตพื้นที่อีสาน 4 จังหวัด ประกอบด้วย อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา จ.อุดรธานี จ.กาฬสินธุ์ และจ.นครพนม ซึ่งจะมีการประสานงานกับสำนักป้องกันปราบปรามและควบคุมไฟฟ้า กรมอุทยานฯ เพื่อเป็นกองกำลังติดอาวุธเข้าร่วมในการชุมนุมของคนเสื้อแดง ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการชุมนุมใหม่ในลักษณะที่ไม่ยืดเยื้อถ้าไ ม่จำเป็น แต่จะมีการขยายการชุมนุมจากท้องสนามหลวงไปจนถึงการปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เพื่อแสดงศักยภาพของคนเสื้อแดงอีกครั้ง
“การเคลื่อนไหวนับจากวันที่ 27 มิ.ย.ซึ่งเป็นวันชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงจะเป็นการปลุกระดมให้มวลชน พร้อมกับการเผชิญอำนาจรัฐ ชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน โดยใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบผ่านกองกำลังจัดตั้งและฝึกฝนมาแล้ว เช่น อดีตสหายผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เจ้าหน้าที่ป้องกันไฟป่า การ์ดอาสาและกลุ่มนักศึกษารามคำแหง ซึ่งคนกลุ่มนี้มีการจัดตั้งหน่วยจรยุทธ หรือ ทีมไล่ล่าบุคคลสำคัญและเป็นปฏิปักษ์ต่อคนเสื้อแดง ตั้งแต่บุคคลระดับสูง องคมนตรี บุคคลในฝ่ายรัฐบาลมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นเป้าหมายแรก ตามมาด้วยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายเทพไท เสนพงศ์ เป็นต้น นอกจากนี้แกนนำพันธมิตรฯทั้ง 5 คนกับนายสุริยะใส กตะศิลาและแนววร่วม เช่น น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายปราโมทย์ นาครทรรพ และนายปีย์ มาลากุล ก็เป็นเป้าหมายที่จะถูกลอบทำร้ายโดยกองกำลังติดอาวุธเหล่านี้ด้วย” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในหน้าสุดท้ายของแผนตากสิน2 ทุบหม้อข้าว ตีเมืองจันทร์ ยังมีการกำหนดคำขวัญของการต่อสู้ไว้ว่า “ผนึกกำลังสู้ครั้งสุดท้าย เพื่อนายใหญ่” โดยระบุกกลุ่มทุนที่ให้การสนับสนุนงบประมาณการต่อสู้ครั้งนี้ว่า ประกอบด้วย พ.ต.ท.ทักษิณ และคนในตระกูลชินวัตร และกลุ่มทุนอื่น
สำหรับแผนตากสิน2 ทุบหม้อข้าวตีเมืองจันทร์นี้ ทางฝ่ายความมั่นคงได้รายงานสรุปและส่งเนื้อหาทั้งหมดให้นายสุเทพ พิจารณาแล้ว
ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีการประชุม เพื่อกำหนดแนวทางรับมือการชุมนุมของนปช.แล้วหลายครั้ง โดยมีการกำชับว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคนไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหาร จะเกียร์ว่างไม่ได้ ต้องทำหน้าที่ของตัวเองโดยเคร่งครัด ใช้บทเรียนจากปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนมาปรับปรุงการทำงาน จะปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดงปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายในสายตาต่างชาติ