ที่ทำเนียบรัฐบาล เช้าวันนี้ (19 มิ.ย.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ลงมติชี้ขาด 16 ส.ว.ถือหุ้นในกิจการหรือบริษัทที่รับสัมปนาหรือเป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ต้องพ้นจากสมาชิกภาพ และจะเป็นบรรทัดฐานเดียวกับ 28 ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกยื่นตรวจสอบกรณีเดียวกันโดยมีชื่อตัวเขารวมอยู่ด้วยว่า ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย ตนก็เหมือนกับคนทั้งหลายที่ได้ไปซื้อหุ้นไว้ในตลาดหลักทรัพย์ ในตอนนั้นหุ้นราคาตกจึงไม่ได้ขายถือค้างอยู่อย่างนั้น แต่พอเห็นว่ามีปัญหาก็ได้โอนขายไปหมดแล้วโดยยอมขายขาดทุนและไม่ซื้ออีกเลย
นายสุเทพ กล่าวว่า ได้ขายหุ้นไปตั้งแต่สมัยเป็นฝ่ายค้าน ก่อนเข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และจำไม่ได้ว่าในพรรคมีกี่คนที่ถือหุ้นอยู่ ไม่ได้หารือกัน
แต่เราก็ปฏิบัติไปตามกฎหมาย ถ้าว่าผิดก็ต้องไปต่อสู้คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้สื่อข่าวถามว่า ส.ส.ที่ถูกร้องทั้งหมดรวมแล้วมีจำนวนมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า ทำอย่างไรได้ กฎหมายเป็นอย่างนั้นก็ต้องว่ากัน ถ้า ส.ส.-ส.ว. พ้นสมาชิกภาพไปก็คงเลือกตั้งใหม่ ยังไม่ทราบว่าจะมีจำนวนเท่าไหร่ ต้องรอดูไปก่อน
"ผมจะกราบเรียนชี้แจงกับศาลว่า ผมไปซื้อหุ้นตลาดหลักทรัพย์โดยสุจริต และไม่ได้ไปสืบดูว่าหุ้นตัวนี้มีสัมปทานกับใครหรือไม่อย่างไร ถามประชาชนทั่วไปก็รู้ว่าเวลาเราจะซื้อหุ้นก็ดูจากวิเคราะห์ว่า มีกำไรดี มีโอกาสที่จะลงทุนได้ มีเงินปันผลดี เราก็ไปซื้อ" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว และว่า ส.ส.พรรคอื่นจะมีลักษณะการถือหุ้นดังกล่าวหรือไม่ ตนไม่ได้ไปสนใจ และไม่มีหน้าที่ไปเที่ยวตามราวีใคร
เมื่อถามว่าแต่การถือหุ้นเพียงไม่กี่แสนจนบาทในอนาคตจะเป็นปลาตายน้ำตื้นได้ นายสุเทพ หัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า ก็ธรรมดา เจอบ่อยๆ
ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายสุเทพ กล่าวว่า ต้องไปถามฝ่ายที่เจรจากันเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ตนไม่เข้าไปร่วมวงด้วยแล้วเพราะปวดหัวเหลือเกิน