เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ภายหลังการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 2 เพื่อพิจารณา ร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ.
ซึ่งนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เสนอหลักการของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเมื่อกลางดึกวันที่ 15 มิถุนายน ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพื้นฟูเศรษฐกิจในมูลค่ารวมกันไม่เกิน 4 แสนล้านบาทและให้กระทำได้ภายในกำหนดเวลาไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2554 นอกจากนี้ภายใน 60 วันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณให้กระทรวงการคลังรายงานการกู้เงินตามพ.ร.บ.นี้ที่กระทำการในปีงบประมาณที่ล่วงมาแล้วให้รัฐสภาทราบ โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 13.30 น. นั้น
"กรณ์"แจงกู้เงินแบงก์ไทย ยันเม็ดเงินสู่ปชช.
เมื่อเวลา 21.00 น. นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า กฎหมายกู้เงินทั้ง 2 ฉบับจำนวน 8 แสนล้านบาทถือเป็นส่วนสำคัญของแผนปฏิบัติการไทยเข็มแข็ง ซึ่งในการประชุมวันที่ 17 มิถุนายน จะมีการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 จำนวน 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งรวมกับเงินกู้ 2 ฉบับ จะมีเม็ดเงินรวม 3.2 ล้านล้านบาท ซึ่งนำไปฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวประชาชน ซึ่งในปี 2553 แผนปฏิบัติไทยเข็มแข็งจะเริ่มใช้ในโครงการต่างๆโดยมีเม็ดเงินอย่างน้อย 23 % หรือ 2.1 ล้านล้านบาท ของเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นอยากให้ประชาชนเข้าใจถึงความจำเป็นของรัฐบาล โดยประชาชนจะได้ประโยชน์จากเม็ดเงินดังกล่าวในหลายโครงการ ส่วนข้อสงสัยว่ารัฐบาลเอาเงินมาจากไหนนั้น ทางรัฐบาลจะกู้จากภายในประเทศเท่านั้น เพราะตระหนักดีว่า ปัจจุบันสภาพคล่องมีเม็ดเงินระบบเกินความต้องการใช้ หากรัฐบาลไม่กู้เงินจำนวนดังกล่าวก็จะอยู่เฉยๆไม่ได้ทำประโยชน์ต่อประชาชนและเศรษฐกิจ
นายกรณ์ กล่าวว่า สำหรับวิธีการใช้เงินนั้นสำนักบริหารและจัดการหนี้สาธารณะจะเข้ามาดูแลเพื่อให้เกิดความโปร่งใส
ซึ่งมีวิธีการที่หลากหลายทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยการใช้เงินรัฐบาลจะออกเป็นพันธบัตรและเมื่อได้ผลตอบแทนกลับมารัฐบาลก็จะเงินไปใช้หนี้ที่รัฐบาลได้กู้จากธนาคารทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย นอกจากนี้ที่สมาชิกได้ท้วงติงว่า รัฐบาลไม่แจกแจงรายละเอียดโครงการ นั้น ตนเห็นว่า ที่ผ่านมาก็ทำในชั้นของคณะกรรมาธิการ ซึ่งหากสมาชิกคนใดสงสัยก็เข้าไปท้วงติงในการประชุมของคณะกรรมาธิการได้