คมชัดลึก :ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ พิพากษาสั่ง“ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย จ่ายค่าเสียหาย 1.25 ล้าน ชดใช้“ลีนาจัง ” หลังผิดสัญญาไม่ส่งลงสมัคร ส.ส.กทม. เลือกตั้ง 23 ธ.ค.50
(9มิ.ย.) ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ศาลอ่านคำพิพากษา คดีที่นางลีนา จังจรรจา อดีตผู้สมัคร ส.ส.และ อดีตผู้สมัคร ผู้ว่า กทม.
เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ,ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรณกร อดีตเลขาธิการพรรคมัชฌิมาธิปไตย เป็นจำเลยที่ 1 - 2 เรื่องละเมิด เรียกค่าเสียหาย 1,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากกรณีที่พรรคมัชฌิมาธิปไตย ผิดสัญญาว่าจะสนับสนุนส่งนางลีน่า ลงสมัคร ส.ส.กทม. เขต 8 ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.50
โดยศาลพิเคราะห์ พยานหลักฐาน ที่คู่ความสองฝ่าย นำสืบแล้ว เห็นว่า แม้ขณะเกิดเหตุคณะกรรมการการเลือกตั้ง( กกต.) ยังไม่ได้รับรอง จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าพรรค
แต่จำเลยที่ 1 ได้จัดงานเปิดตัวพรรคที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา พร้อมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พฤติการณ์จึงเป็นการแสดงออกถึงการเป็นหัวหน้าพรรค อีกทั้งจำเลยที่ 1 ยังสัญญาว่าจะให้โจทก์ลงสมัคร ส.ส.เขต 8 กทม.โดยยืนยันจะให้งบประมาณในการหาเสียงแก่ผู้ลงสมัคร ส.ส.ของพรรค ทุกคน ๆ ละ 1.25 ล้านบาทตามที่กฎหมายกำหนด แต่ต่อมาจำเลยที่ 1 กลับไม่ได้จ่ายเงินช่วยเหลือ และเมื่อ กกต. เปิดรับสมัคร ส.ส.กทม ในวันที่ 12 พ.ย.50 จำเลยที่ 1 กลับยกเลิกไม่ให้โจทก์ลงสมัคร ส.ส.เป็นตัวแทนของพรรคมัชฌิมาธิปไตย จึงทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
ดังนั้นการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงถือเป็นการละเมิดต่อโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 1.25 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 บาทต่อโจทก์ ภายใน 30 วัน ส่วนจำเลยที่ 2 ในทางนำสืบไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 พิพากษาให้ยกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้โจทก์ ยื่นฟ้องสรุปว่า ระหว่างต้นเดือน ต.ค. - 12 พ.ย.50 จำเลยทั้งสองได้รับโจทก์เป็นสมาชิกพรรคมัชฌิมาธิปไตย
โดยสัญญาจะให้เป็นทีมงานด้านสังคม ดูแลด้านเด็กและสตรี ให้กับพรรค พร้อมให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เขต 8 บางนา สวนหลวง ประเวศ และพระโขนง กทม. ในการเลือกตั้งวันที่ 23 ธ.ค.50 โจทก์จึงจัดตั้งศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง และลงพื้นที่แนะนำตัว เผยแพร่นโยบายพรรคโดยการหาเสียชูจำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งทางพรรคสัญญาจะให้ค่าใช้จ่ายเบื้องต้นเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท โดยให้โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน แต่ต่อมากลับไม่ยอมจ่ายเงินให้ เมื่อทวงถาม จำเลยก็บ่ายเบี่ยง ต่อมาปลายเดือน ต.ค. 50 ในการสัมมนาผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค จำเลยทั้งสองได้แนะนำตัวโจทก์ ว่าเป็นผู้สมัคร ส.ส.เขต 8 กทม. ทำให้โจทก์หลงเชื่อจัดทีมงานหาเสียงลงพื้นที่แนะนำตัว นาน 2 เดือน เสียค่าใช้จ่ายในการหาเสียงไปนับล้านบาท จนวันที่ 9 พ.ย.50 ซึ่งเป็นวันแรกในการเปิดรับสมัครส.ส.กทม จำเลยกลับยกเลิกการไม่ส่งโจทก์ลงสมัครเลือกตั้งเป็นตัวแทนพรรค การรกระทำของจำเลย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง และไม่สามารถลงรับสมัครเลือกตั้งในพรรคใหญ่ได้ทัน