วันที่ 7 มิ.ย. ที่รัฐสภา มีการสัมมนาโครงการเสริมสร้างและเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจในทางการเมือง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ให้แก่ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้ปกครองท้องถิ่น รุ่นที่ 8 จัดโดยความร่วมมือระหว่างรัฐสภา กระทรวงมหาดไทย และสถาบันพระปกเกล้า มีผู้บริหารท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านกว่า 700 คนเข้าร่วมสัมมนา
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในการสัมมนาเรื่อง "การเสริมสร้างและการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข"
ว่า ขอรับข้อตำหนิที่ว่านักการเมืองระดับชาติมีส่วนสำคัญในการสร้างความขัดแย้ง ภายหลังตนเข้ารับหน้าที่พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มเติม และพยายามไม่สร้างความขัดแย้งทั้งที่เกิดจากการพูดจาและการกระทำ ขอยืนยันว่าความเห็นต่างกันที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง หรือความแตกแยกในระบอบประชาธิปไตยสามารถเกิดขึ้นได้ เพราะจะคาดหวังว่าฝ่ายค้านกับรัฐบาลต้องเห็นตรงกันทุกเรื่องคงไม่ได้ แต่หลักการที่ตนยึดถือคือการแสดงออกทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ดังนั้นใครจะตำหนิหรือวิจารณ์รัฐบาลตนถือว่ามีสิทธิ์ แต่ต้องไม่เกินขอบเขตของกฎหมาย
"ส่วนกระบวนการของรัฐสภาอย่าไปคาดหวังว่าจะเรียบร้อยร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง ผมขอความร่วมมือจากฝ่ายค้านเพียงแค่ว่า เรื่องสำคัญของบ้านเมืองอยากให้ช่วยผ่านเรื่องเหล่านั้นไป ส่วนการตรวจสอบเป็นสิทธิของฝ่ายค้านที่จะทำได้เต็มที่ ในการตั้งกระทู้ถาม อภิปราย ผมกับรัฐบาลถือเป็นนโยบายที่ให้ความสำคัญกับงานของสภา" นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานที่ประชุม กล่าวปิดการสัมมนาว่าฝากผู้นำท้องถิ่นทุกคนทำงานเพื่อสร้างความสมานฉันท์สามัคคี
เกิดความปรองดองในพื้นที่ ไม่อยากให้แบ่งเป็นภาคใต้ กลาง หรืออีสาน แต่ให้เป็นภาครวมของประเทศไทย "ส่วนที่ผู้มาฝึกอบรมพูดว่าสภามีการทะเลาะ ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีในการสมานฉันท์นั้น เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่หยอกกัน ไม่มีอะไรมาก ผมยังเฉยๆ ปล่อยให้ชกกัน มันก็ไม่ชกกันหรอก เพราะมันกลัวเจ็บเหมือนกัน ฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ปัญหารุนแรงไม่เกิดแน่" นายชัยกล่าว