วันนี้ (6มิ.ย.) เมื่อเวลา 09.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย
ออกมาระบุว่าโครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคันเช่ามากกว่าซื้อว่า เรื่องนี้ทุกฝ่ายต้องให้ข้อมูล ซึ่งขณะนี้มีคนกลางที่ไม่มีส่วนได้เสีย เป็นผู้ศึกษาและจะให้คำตอบกับรัฐบาลและสังคม อย่างไรก็ตามทุกคนสามารถเสนอความคิดเห็นได้ เหมือนกับที่หลายๆคนได้ส่งข้อมูลมาให้กับตนจำนวนมาก มีทั้งเชียร์ใหซื้อและเชียร์ให้เช่า ซึ่งต้องให้กรรมการของสภาพัฒน์ฯเป็นผู้ประมวลออกมาให้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แก่สังคม
เมื่อถามว่า ในขณะที่หลายฝ่ายมีการจัดสัมมนาเพื่อแสดงความคิดเห็น เช่น สนข. จะทำให้ประเด็นแตกไปหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คงไม่
เพราะทุกคนมีส่วนร่วมได้ คงห้ามใครไม่ให้ความเห็นไม่ได้ แต่สภาพัฒน์ฯทำหน้าที่หน่วยงานที่เป็นกลาง รวบรวมความคิดเห็น ดังนั้นตนจึงต้องการให้หลายฝ่ายที่ต้องการให้ความคิดเห็นนั้นสามารถส่งไปยังสภาพัฒน์ฯได้ เพื่อให้มีข้อมูลรอบด้านที่สุด และเพื่อสังคมมีโอกาสได้ทำความเข้าใจว่าการจะปรับปรุง ขสมก.และจะเดินไปข้างหน้านั้นอะไรดีที่สุด
เมื่อถามว่า ทาง สนข.เป็นหน่วยงานขึ้นตรงกับกระทรวงคมนาคมจะทำให้เป็นความเห็นด้านเดียวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่เป็นไร
เพราะมีฝ่ายอื่นที่มีความ เห็นและเสนอไป ตนคิดว่าอย่าไปปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น แต่ที่สุดแล้วต้องตัดสิน ใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ดีที่สุด เมื่อถามว่าทางกระทรวงคมนาคมเสนอว่าอาจต้องให้มีการทำประชาพิจารณ์ นายกฯ กล่าวว่า ก็ทำได้ เพราะการทำประชาพิจารณ์จะยิ่งดี หากทุกอย่างทำได้ภายใน 1 เดือนก็ยิ่งดี เพราะมีประชาชนจำนวนมากที่อยากแดสงความคิดเห็น แต่ขอให้เป็นการนำข้อมูลมาเทียบเคียงกัน ใช้เหตุผลอย่าใช้อารมณ์
มาร์คยันเมล์ฉาว ต้องเกิดแน่ รับผิดชอบร่วมกัน
เมื่อถามว่า ระดับแกนนำของพรรคภูมิใจไทยโจมตีพรรคประชาธิปัตย์ว่านำโครงการนี้มาหาเสียง กับคนใน กทม.เพื่อเอาความดีเข้าตัว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า งานของรัฐบาลเป็นงานของทุกพรรครับผิดชอบร่วมกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะรับผิดหรือรับชอบต้องรับด้วยกัน พร้อมทั้งยืนยันว่ารัฐบาลจะทำโดยยึดประโยชน์ของส่วนรวม ของประชาชนเป็นที่ตั้ง กรณีนี้คือต้องการมีรถเมล์ที่ดีให้บริการประชาชน เป็นรถเมล์ที่ใช้พลังงานสะอาด อยู่ในสภาพที่ทำให้ประชาชนมีความรู้สึกมั่นใจและอยากใช้ในราคาสมเหตุสมผล และรัฐต้องไม่สูญเสียเงินมากกว่าที่ควรจะสูญ
เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าจะไม่เป็นปัญหาคาใจ กันระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่มีอะไรคาใจ
เมื่อถามต่อว่า พรรคภูมิใจไทยกำลังมองว่าพรรคประชาธิปัตย์เล่นบทพระเอกอยู่คนเดียว นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีใครเป็นพระเอก ทุกคนทำงานอยู่ด้วยกัน รับผิดรับชอบด้วยกันอยู่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้เพียงแต่ต้องการให้สังคมมีความมั่นใจว่าเมื่อตัดสินใจ แล้ว มีข้อมูลรองรับ ผ่านการกลั่นกรองโดยคนที่เป็นกลาง ซึ่งเมื่อได้คำตอบออกมาคงไม่มีใครคาใจ
เมื่อถามถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคภูมิ ใจไทย วิจารณ์การทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำให้ดูเหมือนภาพลักษณ์ที่ดีตกไปอยู่ ที่พรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว
และงานของพรรคร่วมไม่รับการพิจารณาว่า ตนไม่ทราบเรื่องนี้ เมื่อถามว่า การทำงานของพรรคร่วมได้มีการพูดคุยกันบ้างหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เวลาที่เปิดสมัยประชุมสภาวิปจะทำหน้าที่ประสานงานและมีการประชุม ครม.ทุกสัปหดาห์เพื่อหารือการทำงานกันอยู่แล้ว ซึ่งตนเป็นคนที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความเห็นอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า คิดว่าจำเป็นต้องมีการทำความเข้าใจนอกรอบกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การพบปะกับแกนนำพรรคร่วมมีเป็นระยะแต่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
เมื่อถามว่า ตอนที่จัดตั้งรัฐบาลนายกฯมีการพูดคุยและรับประทานอาหารกับแกนนำพรรคร่วม รัฐบาลทุกเดือนยังจำเป็นต้องทำต่อไปหรือไม่เพราะดูเหมือนว่าพรรคร่วมยังคาใจ พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก่อนเปิดสมัยประชุมสภาวิสามัญเข้าใจว่าแต่ละพรรคร่วมคงจะมีการพูดคุยกันอยู่แล้ว ตนไม่ได้คาดคิดว่าจะมีปัญหาอะไร
เมื่อถามอีกว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่การออกมาวิจารณ์ช่วงก่อนเปิดประชุมสมัยวิสามัญเพราะ ต้องการกดดันเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนโครงการต่างๆ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบแต่ยืนยันได้ว่าไม่มีอะไรมากดดัน มีเรื่องกดดันเพียงอย่างเดียวคือปัญ หาของประเทศ เพราะเป็นปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่ต้องเร่งทำงานแก้ไขปัญหา นายอภิสิทธิ์ กล่าวยืนยันว่างานของรัฐบาลเดินหน้า ในช่วง5-6 เดือนที่ผ่านมางานใหม่ของรัฐบาลเดินหน้าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสวัสดิการเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง ผู้สูงอายุ งานเศรษฐกิจที่สามารถผ่านงบประมาณกลางปีได้แล้ว คิดว่าในช่วง 5-6 เดือนงานออกมามาก แต่ปัญหามากกว่าโดยเฉพาะปัญหายาเสพติด และปัญหาภาคใต้ยังเป็นปัญหาที่ตนอยากเห็นการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่าเดิม สิ่งเหล่านี้คือตัวกดดัน เรื่องการเมืองไม่ได้ไปให้ความสำคัญและไม่มีใครสร้างปัญหามีแต่ร่วมกันแก้ไข ปัญหาความเห็นแตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ได้คาดคิดว่า ทุกคนจะต้องเห็นตรงกัน