สถานการณ์ของรัฐบาลภายใต้การนำของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี อยู่ในอาการ "น่าหวาดเสียว" ยิ่ง หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน เบรกโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ภายใต้งบประมาณ 64,853 ล้านบาท เป็นหนที่ 3
โดยดึง "วาระร้อน" ออกไปให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ด สศช.) เกลี่ยตัวเลข-กลบกระแส ใช้เวลา 1 เดือน ก่อนกลับมาเสนอ ครม.ใหม่
ทั้งที่โครงการ "เมล์นรก" ถูกมองว่าเป็น "กล่องดวงใจ" ของพรรคภูมิใจไทย (ภท.)
ทั้งที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รู้ดีว่า "เนวินและผองเพื่อน" พยายามปลุกปั้น "อภิมหาโปรเจ็คต์" มาถึง 3 รัฐบาล 3 นายกฯ แล้ว
แต่สุดท้าย "บิ๊กสะตอ" ก็ปล่อยให้ "ป๋าดัน" ตกอยู่ในอาการ "หัวคะมำ" ซ้ำซาก!
ด้านหนึ่ง มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ามติ ครม.ที่ออกมา เป็นเพียงการเล่นละคร "ตบตา" ประชาชนเท่านั้น เพราะผู้มีบารมีนอก ภท. นาม "เนวิน ชิดชอบ" กับ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการ ปชป. ดอดไป "เกี้ยเซี้ย" กันตั้งแต่ฝูงรถเมล์ยังไม่แล่นผ่านทำเนียบ
ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีการมองกันว่า "คนหนังตะลุง" จงใจตีแสกหน้า "คนปากห้อย" แบบเต็มๆ หลังมี "ข้อตกลง" บางประการที่ยัง "ต่อรอง" กันไม่จบ
ไม่ว่าเหตุผลแท้จริงในการ "ยื้อ" โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน จะเป็นเช่นไร
แต่ท่าทีกึกๆ กักๆ ของคนในรัฐบาล "อภิสิทธิ์" ได้ทำให้ ภท.ถูกป้ายข้อหาคอร์รัปชั่นไปแบบเต็มๆ
อย่างไรก็ตาม ถ้ารู้จักคนอย่าง "เนวิน" จะรู้ว่า "พรรคสีน้ำเงิน" ไม่ยอมตายเดี่ยว ถูกป้ายสีเพียงฝ่ายเดียวแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ปรากฏข่าว ภท.เปิดฉาก "เอาคืน" ปชป. ด้วยการไล่ขุดคุ้ยโครงการรถเมล์บีอาร์ทีของ กทม. หลังเกิดเหตุ "รถเมล์เอ็นจีวีไถล" ไม่ถึง 24 ชั่วโมง
แต่นั่นเป็นเพียง "คำขู่" แรกเท่านั้น
เชื่อกันว่า "ของจริง" น่าจะเกิดขึ้นปลายเดือนมิถุนายน-ต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกฎหมายการเงินสำคัญ 3 ฉบับ ประกอบด้วย ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณร่ายจ่ายประจำปี 2553 วงเงิน 1.7 ล้านล้านบาท ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 4 แสนล้านบาท และร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 4 แสนล้านบาท ผ่านความเห็นชอบของสมาชิกรัฐสภา ในการประชุมสภาสมัยวิสามัญ ระหว่างวันที่ 15-23 มิถุนายน
เพราะนั่นหมายความว่า 6 พรรคร่วมรัฐบาลจะมี "กระสุน" ตุนอยู่ใน "คลังแสง" ของตนแล้ว
อีกทั้งในห้วงเวลาเดียวกันนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกที่พร้อมสกรัมให้ "อภิสิทธิ์กับพวก" ตกอยู่ในอาการสะบักสะบอม
หนึ่งคือ กรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่รอบ 2 เพื่อขับไล่รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ในวันที่ 27 มิถุนายน
อีกหนึ่งคือ กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เตรียมชี้มูลความผิดคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งอาจนำไปสู่การจัดโผ ครม. "อภิสิทธิ์ 4" หาก 5 รัฐมนตรีต้องหลุดจากตำแหน่ง
ในทั้ง 2 เหตุการณ์ "เพื่อนเนวิน" สามารถเป็นได้ทั้ง "ตัวช่วย" ค้ำยันรัฐบาล หรือ "ตัวฉุดกระชาก" อำนาจให้หลุดจากมือ "อภิสิทธิ์"
อย่าลืมว่าในช่วงที่เกิดเหตุ "เมษาฯทมิฬ" พลพรรคของ "เนวิน" ได้จัด "กองกำลังชุดน้ำเงิน" มาสกัดกั้นความเคลื่อนไหวของ "ขบวนไพร่แดง" ด้วยเพราะรู้ไส้รู้พุงกันดี จนสามารถต่อลมหายใจรัฐบาลได้อีกระยะหนึ่ง
และอย่าลืมว่าหากมีการปรับ ครม. พรรคที่จะปั่นป่วนที่สุดหนีไม่พ้น ปชป. เนื่องจาก 40 ส.ส. ได้สถาปนา "แก๊งเขย่าขา" ขึ้นในพรรคเรียบร้อยแล้ว โดยมี "เฉลิมชัย ศรีอ่อน" ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อนร่วมก๊วน "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" น้องชาย "เนวิน" เป็นหัวหน้าก๊ก
ในช่วงปลายเดือน 6 ย่างเข้าเดือน 7 ของอายุรัฐบาล จึงเป็นจังหวะเหมาะอย่างยิ่งที่ "เขมรจะแผลงฤทธิ์" ก่อนบอร์ด สศช. จะชงโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน กลับมาให้ ครม.เคาะครั้งสุดท้าย
โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การกำหนด "จุดจบ" ของมติ ครม.ให้ตรงกับ "จุดเริ่มต้น" ในการเข็น "โปรเจ็คต์ในฝัน"
หากทำได้ ภท.จะมี "งบฯก้อนใหญ่" และโกยคะแนนจาก "ฐานเสียงใหญ่" ในกลุ่มคนเมือง
หากถ้าทำไม่ได้ ภท.จะมีคำว่า "โคตรโกง" เป็นตราบาปติดตัว
ท้ายที่สุด ถ้าเวลา 1 เดือน แห่งการต่อรองนอกห้องประชุม ครม.ไม่เป็นผล เชื่อว่า "มุมน้ำเงิน" จะออกอาวุธหนักใส่ "มุมฟ้า" แน่นอน
นั่นหมายความว่า ปชป.มีสิทธิต้องนับถอยหลังการเป็นรัฐบาล
แม้ในความเป็นจริงจะไม่มีคนการเมืองหน้าไหนอยากเป็นฝ่ายค้าน แต่เมื่อเทียบความพร้อมของ 2 พรรค ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภท.อุดมสมบูรณ์กว่า ปชป. ทั้งในแง่ "กระสุน" และ "ขุมกำลัง" ที่ทยอยจัดวางไว้แต่เนิ่นๆ ตั้งแต่รัฐบาล "อภิสิทธิ์" เข้ามาบริหารประเทศใหม่ๆ
คติพจน์ในการ "ออกรบ" ของกลุ่มเพื่อนเนวินคือ... "แพ้ตาย ชนะรอด"
ว่ากันว่าเป็นหลักคิดที่ "นายห้อย" ใช้ปลุกระดม "ลูกหาบ" ให้สู้กับความกลัวในนาทีที่ตัดสินใจ "พลิกขั้วการเมือง"
เพียงแต่งานนี้ใครจะ "ตาย" ใครจะ "รอด"
หรืออาจตายหมู่ทั้ง ครม.ก็ได้ หาก ปชป.ประกาศยุบสภาโครมเดียว!!!