ครม.ยกเลิกกำหนดอายุความผู้หนีคดี


"ชาติชาย" ยอมไขก๊อกพ้น รมช.เกษตรฯ แล้ว ปัดพูดเหตุหลุดตำแหน่งเพราะไม่ใช่พวกเนวิน "อภิสิทธิ์" ชี้ รมช.เกษตรฯ คนใหม่ต้องพร้อมสานต่องานด้านเกษตร ย้ำปรับตำแหน่งเดียว "ศุภชัย" โผล่กรอกเอกสารที่ทำเนียบ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ด้าน "ชวน" เตือน "เฉลิมชัย" อย่าป่วนจนทำพรรคเสียหาย ศาล รธน.นัดลงมติ พ.ร.ก.เงินกู้ 3 มิ.ย.นี้

นายชาติชาย พุคยาภรณ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดแถลงข่าวที่กระทรวงเกษตรฯ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 26 พฤษภาคม หลังเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยอมรับว่าได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ แล้ว โดยให้เหตุผลการลาออกครั้งนี้ว่าเพื่อให้เกิดความเหมาะสมต่อสถานการณ์ในปัจจุบันจากมติของพรรคภูมิใจไทยที่ผ่านมา ซึ่งใช้เวลาไตร่ตรอง 1 สัปดาห์ว่าควรจะทำอย่างไร หลังจากนั้นจึงได้กราบเรียนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยการลาออกมีผลทันที เหลือแค่งานด้านเอกสารเท่านั้น ซึ่งภายในวันนี้คงเรียบร้อย


นายชาติชายยืนยันว่า ไม่รู้สึกน้อยใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ดีใจที่ได้มีโอกาสทำงานให้ประชาชน และได้ประสบการณ์ที่ดีจากการทำงาน และเพื่อนร่วมงานและจากผู้ใหญ่ในวงการเมือง


ส่วนสาเหตุที่ต้องหลุดจากตำแหน่งเป็นเพราะไม่ใช่พวกของนายเนวิน ชิดชอบ ใช่หรือไม่ นายชาติชายปฏิเสธที่จะตอบ โดยบอกว่าไม่อยากพูดเรื่องนี้ ทั้งนี้ตนอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องกลับไปดูตัวเองว่า มีความบกพร่องตรงไหนหรือไม่


รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม.เปิดเผยว่า ก่อนเข้าสู่การประชุม ครม.นายชาติชายได้เข้าไปพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์ ซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะการประชุมอยู่ชั่วครู่ และเดินกลับมา จากนั้นนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้เดินเข้าหานายกฯ ทันที พร้อมกับยื่นเอกสารแนบไปด้วย คาดว่าน่าจะเป็นหนังสือลาออกของนายชาติชายและรายชื่อว่าที่ รมช.เกษตรฯ คนใหม่


อย่างไรก็ดี ระหว่างที่นายชาติชายเดินเข้าไปพูดคุยกับนายกฯ นั้น มีเสียงซุบซิบจากรัฐมนตรีบางคนว่า "เข้าประชุมได้หรือไม่ การลาออกมีผลหรือยัง" และก่อนหน้านี้มีรัฐมนตรีบางคนได้ปรารภกับเพื่อนรัฐมนตรีถึงกรณีของนายชาติชายว่า "หากเกิดเรื่องแบบนี้ ยื่นใบลาออกจะสง่างามกว่า"


"ศุภชัย"เขินถูกเพื่อนเรียก"รัฐมนตรี"


ด้านนายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม พรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้รับการคาดหมายว่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงเช้า ที่รัฐสภา ท่ามกลางเพื่อนฝูงต่างเข้ามาทักทายและเรียกนายศุภชัยว่า "ท่านรัฐมนตรี" ทำให้นายศุภชัยมีท่าทีเขินอายจนหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับชักชวนให้พูดคุยเรื่องอื่นทันที


รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลา 16.00 น. นายศุภชัยไปที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อกรอกประวัติเตรียมพร้อมรับตำแหน่งรัฐมนตรี


ภท.เร่งนายกฯ ทูลเกล้าฯ รมช.คนใหม่


ขณะที่นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ส่งชื่อ รมช.เกษตรฯ คนใหม่ ถึงมือนายกรัฐมนตรีแล้ว หลังจากนี้เป็นอำนาจของนายกฯ ที่จะตัดสินใจในฐานะผู้นำรัฐบาล
 
 "เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่จะเป็นผู้พิจารณาใช้อำนาจตัดสินใจนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป ขณะนี้ถือว่ากระบวนการในพรรคภูมิใจไทยเสร็จสิ้นแล้ว และมีการทำความเข้าใจกับสมาชิกพรรค รวมถึงกลุ่มของนายสรอรรถ กลิ่นประทุม ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี ไม่มีปัญหา" นายศุภชัยกล่าว


ผู้สื่อข่าวถามว่า รายชื่อที่เสนอให้นายกรัฐมนตรีคือ นายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม ใช่หรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า ชื่อนี้มีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า 70% แต่โดยมารยาทไม่ขอพูดดีกว่า ต้องรอนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตัดสินใจ

นายกฯ ย้ำปรับ ครม.ตำแหน่งเดียว


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม ครม.ถึงกรณีที่นายชาติชาย พุคยาภรณ์ รมช.เกษตรฯ ประกาศลาออกจากตำแหน่งว่า หากนายชาติชายลาออกก็ต้องมีการปรับ ครม.ในส่วนของตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ โดยเป็นการปรับเพียงตำแหน่งเดียว ล่าสุดตนได้รับจดหมายจากพรรคภูมิใจไทยฉบับหนึ่งแต่ยังไม่ได้เปิดดู จึงไม่ทราบว่าเป็นเรื่องรายชื่อผู้ที่จะมารับตำแหน่งแทนนายชาติชายหรือไม่ ส่วนผู้ที่จะมารับตำแหน่งแทนนายชาติชายนั้น ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องตัวบุคคล แต่คุณสมบัติส่วนตัวคงต้องทำงานด้านการเกษตรเพื่อสานต่องานที่ได้ทำเอาไว้ โดยจะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องการประสานงานกับพรรคต้นสังกัดที่เคยเป็นปัญหาอยู่


ยันใน ปชป.ไม่มีแรงกระเพื่อม


นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกนายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ มาพบเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ว่า การปรับ ครม.ครั้งหน้านายเฉลิมชัยต้องได้ตำแหน่งรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าจะมาพบกันเรื่องอะไร แต่การที่สมาชิกพรรคมาพบเลขาธิการพรรค ก็น่าจะเป็นเรื่องปกติ


เมื่อถามว่า นายกฯ ย้ำเรื่องการให้ข่าวแต่ก็ยังมีข่าวออกมาแบบนี้ แสดงว่าภายในพรรคยังกระเพื่อมจากความไม่พอใจเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ไม่มีอะไรกระเพื่อมหรอกครับ”


"ชวน"ติง"เฉลิมชัย"อย่าทำพรรคเสียหาย


นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข่าว ส.ส.กลุ่มนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ออกมาเรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรีว่า ตามปกติการพิจารณาผู้เหมาะสมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี จะมีคณะกรรมการเป็นผู้พิจารณา ซึ่งในสายตาของผู้ตั้งกับผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง หรือผู้ที่อยากได้รับแต่งตั้งก็อาจจะต่างกันไป แต่ว่าในการจัดคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมานี้ต้องยอมรับว่าตำแหน่งมีน้อย หลายคนที่มีศักยภาพที่จะทำงานได้ดี แต่ตำแหน่งไม่พอก็ต้องผิดหวังไป ซึ่งก็น่าเห็นใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็ต้องให้เกียรตินายกรัฐมนตรีว่าเมื่อเขาเลือกใครแล้ว ก็ต้องถือว่าพรรคเห็นชอบด้วยแล้ว


“แม้บางคนจะไม่พอใจก็ไม่ควรที่จะทำให้เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาที่จะทำให้พรรคเสียหาย ไม่สมควรอย่างยิ่ง และปกติก็ไม่มีใครไปสัญญาอะไร ไม่มีใครไปตกลงอะไร ใครไปตกลงก็เสียหาย อย่างนั้นมันกลายเป็นปัญหาของคนอื่น เพราะฉะนั้นก็ต้องขึ้นกับหัวหน้าพรรคและกรรมการที่พิจารณา คนที่ไม่ได้เป็นก็เห็นใจ แต่โดยทั่วไปพรรคจะเลือกสิ่งที่เห็นว่าเหมาะสมที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และในระบบพรรคประชาธิปัตย์ ใครไม่ถูกใจเขาก็จะพูดกันภายใน ไม่ไปสร้างปัญหาให้เสียหายแก่พรรค” นายชวน กล่าว


"สุเทพ"ปราม"อภิชาติ"ระวังปาก


เวลา 16.50 น. นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เข้าพบนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที จากนั้นนายสุเทพให้สัมภาษณ์ว่า ได้ถามนายอภิชาติถึงกรณีที่มีข่าวเกิดขึ้นภายในพรรคว่า “อภิชาติ อ่านหนังสือพิมพ์บ้างหรือเปล่า มันบอกว่าไม่ได้อ่าน” เลยบอกว่า "ทีหลังเวลาให้สัมภาษณ์ ให้ระวังหน่อย "


ด้านนายอภิชาติให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ได้มาเคลียร์ใจอะไรกับนายสุเทพ แต่มาขอดูรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการถนนไร้ฝุ่นที่ จ.เพชรบุรี เพื่อนำนโยบายไปบอกแก่ประชาชนในพื้นที่ รวมถึงรายละเอียดในร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ว่า แต่ละจังหวัดได้จัดทำรายละเอียดไปถึงไหน ก่อนที่จะนำเข้าสู่ที่ประชุมสภา ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการปรับ ครม.และตนไม่ได้บอกว่าจะต้องปรับ ซึ่งนายสุเทพบอกด้วยว่าให้สัมภาษณ์อะไร ต้องระวัง ซึ่งปกติ ตนไม่ค่อยได้เป็นข่าวอยู่แล้ว


เมื่อถามว่า มีการออกมาแสดงความเห็นว่า หากมีการปรับ ครม.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ รองหัวหน้าพรรคภาคกลาง ควรจะมีสิทธิ์นั่งเป็นรัฐมนตรี นายอภิชาติ กล่าวว่า หมายความว่านายกรัฐมนตรีได้บอกไว้ว่าจะดูผลงาน 6 เดือน หากรัฐมนตรีทำงานได้ดีก็คงไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร แต่หากจะปรับเปลี่ยนก็เปลี่ยนเพื่อประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาลเท่านั้น

อภิชาติยันไม่มีกลุ่ม40-ปัดย้ายพรรค


เมื่อถามว่าที่มีการระบุว่าส.ส.ในกลุ่มของนายเฉลิมชัยมี 40 คน ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกลุ่มนับแล้วถึง 40 หรือไม่ นายอภิชาติ กล่าวว่า ไม่มี อยากบอกว่า คำว่า ส.ส. 40 คน เป็นเพื่อนในกลุ่มพวกเราที่เราคบหากันอยู่ เพราะนายเฉลิมชัยเป็นคนใจกว้างมีพรรคพวกเพื่อนฝูงเยอะ ต่างพรรคก็มี ยืนยันว่าไม่มีกลุ่ม 40 ในพรรค และอย่าเอาไปบอกว่าเป็นกลุ่มเพื่อนเฉลิมชัย เพราะตนไม่กล้าไปเทียบรัศมีกลุ่มเพื่อนเนวิน


ส่วนหากมีการปรับเปลี่ยนเกิดขึ้น แล้วนายเฉลิมชัยไม่ได้เป็นรัฐมนตรี ในพรรคจะมีการยกกลุ่มย้ายพรรคหรือไม่ นายอภิชาติ กล่าวว่า ไม่มีแน่นอน โดยเฉพาะตนไม่ไปเริ่มต้นนับหนึ่งที่อื่นหรอก และเชื่อว่านายเฉลิมชัยไม่ไปที่อื่นแน่นอน ไม่ว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีหรือไม่ ก็ไม่ย้ายไปไหน


นายอภิชาติยังกล่าวถึงการที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคออกมาตำหนิ ส.ส.ที่ออกมาเคลื่อนไหวว่าไม่สมควรเพราะทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคเสียหาย ว่า คิดว่าไม่มี เพราะจากการที่มาพบกับนายสุเทพก็ไม่มีการพูดถึงเรื่องเหล่านี้เพราะมันจบไปแล้ว และไม่ทราบเหมือนกันว่าเอามาจากไหน 40 คน เฉพาะ ส.ส.ภาคกลางด้วยกันเองยังไม่ถึง 40 เลย มีเพียง 36 คนเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรกดดัน


ก๊วนต.อ.ให้เฉลิมชัยรอเสียบอลงกรณ์


นายวิชัย ล้ำสุทธิ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.กลุ่มนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ รองหัวหน้าพรรคภาคกลาง ออกมาทวงตำแหน่งรัฐมนตรีให้แก่นายเฉลิมชัย หากนายธีระ สลักเพชร ถูกปรับพ้น รมว.วัฒนธรรม ว่า นายธีระเพิ่งทำงานมาได้เพียง 3 เดือนเศษเท่านั้น น่าจะให้เวลาทำงานถึง 6 เดือนก่อนค่อยประเมินผลงาน ซึ่งหากผลงานนายธีระไม่เป็นที่น่าพอใจ ส.ส.ภาคตะวันออกก็จะประชุมกัน เพื่อเสนอชื่อคนอื่นแทนนายธีระ เพราะโควตา รมว.วัฒนธรรมเป็นของ ส.ส.ภาคตะวันออก ไม่ใช่ของ ส.ส.ภาคกลาง เพราะ ส.ส.ภาคตะวันออกมีถึง 18 คน กลับได้โควตารัฐมนตรีเพียงเก้าอี้เดียวเท่านั้น ดังนั้นหากนายเฉลิมชัยต้องการเป็นรัฐมนตรี ควรจะรอให้มีการปรับนายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ ออกจากตำแหน่งจะดีกว่า เพราะเป็นโควตาของ ส.ส.ภาคกลางโดยตรง


"นปช.-พี่แม้ว"ยุส่ง"สนธิ"นั่งหัวหน้าพรรค


นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช.กล่าวว่า ยินดีที่พันธมิตรตั้งพรรคการเมือง และเห็นว่ามีคนในกลุ่มพันธมิตรที่เคยเป็นนักเลือกตั้งอยู่หลายคน ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เมื่อพันธมิตรตั้งพรรคการเมืองลงเลือกตั้งก็จะทำให้รู้ว่าได้รับความนิยมจากประชาชนมากน้อยแค่ไหน และเห็นว่าการตั้งพรรคของกลุ่มพันธมิตรน่าจะส่งผลกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคเพื่อไทยเพราะมีฐานเสียงอยู่กลุ่มเดียวกัน


“ผมจะไม่ทวงถามถึงคำสัตย์ที่แกนนำพันธมิตรบางคนเคยพูดไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง เพราะเป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่จะต้องอธิบายแก่สังคมให้ได้ ส่วนคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรค เห็นว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล มีความเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นสัญลักษณ์ และเป็นเหมือนแม่เหล็กของกลุ่มพันธมิตรอยู่แล้ว” นายจตุพรกล่าว


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า พันธมิตรมีสิทธิจะตั้งพรรคการเมืองได้ แต่ประเมินว่ายากที่จะประสบความสำเร็จ เพราะเอาแค่แนวคิดที่พันธมิตรชูธงเรื่องการเมืองใหม่ คนในพันธมิตรก็ยังเข้าใจไม่ตรงกัน ขณะที่คนในสังคมแนวร่วมพันธมิตรก็ไม่เข้าใจว่าการเมืองใหม่คืออะไร จึงยากที่คนจะสนับสนุน และวันนี้เมื่อไปดูความเห็นของแนวร่วมพันธมิตรหลายๆ คนก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง จึงเชื่อว่าการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรจะทำให้สูญเสียแนวร่วมไปอีกเยอะ


พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษณ์ว่า คนไทยเบื่อม็อบเต็มที ดังนั้นควรหันมาเล่นวิถีทางประชาธิปไตย มีอะไรก็พูดกันในสภาไม่ใช่มาพูดกันข้างถนน เมื่อตั้งพรรคการเมืองแล้วก็อย่ามาเดินขบวนก่อม็อบ ถ้าคิดว่าตั้งพรรคแล้ว และจะมาตั้งม็อบอีกก็คล้ายกับเป็นเผด็จการ


นิด้าแนะพธม.เจาะอีสานชูแนวร่วมปชป.


นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวถึงการตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่า หากพรรคพันธมิตรจะเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการชุมนุมเหมือนเดิม หรือใช้สื่อไปในทางใดทางหนึ่งเหมือนที่ผ่านๆ มา จะต้องระมัดระวัง เพราะอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายพรรคการเมืองได้ ทั้งนี้ ฐานเสียงของพรรคพันธมิตร แม้จะทับซ้อนกับพรรคประชาธิปัตย์ ในภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ แต่ถ้าสามารถเจาะฐานเสียงภาคอีสาน และภาคเหนือได้ ก็จะทำให้เป็นแนวร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ที่จะเข้มแข็งมากขึ้น


ภท.วางตัวผู้สมัคร ส.ส.อีสานไม่ลงตัว


ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ประชุมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย 54 คน เพื่อเตรียมรับการเลือกตั้งที่อาจจะมีขึ้น โดยวางตัวผู้สมัคร ส.ส.ตามเขตต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน ส่วนในกรุงเทพฯ มีเพียง 2 คน คือ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รองโฆษกพรรค ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 และน.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 9 และภาคใต้มีเพียง 1 คน คือนายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรค ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ตรัง เขต 1


นอกจากนี้ ยังมีผู้สมัครบางส่วนที่ยังจัดไม่ลงตัว เพราะเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกลุ่มเพื่อนเนวินและกลุ่มมัชฌิมา ในพื้นที่ภาคอีสาน แต่แกนนำกำลังเกลี่ยให้ลงตัวเพื่อไม่ให้เกิดการทับซ้อน โดยในภาคอีสานอยู่ในความดูแลของกลุ่มเพื่อนเนวิน ภาคเหนือตอนล่างอยู่ในความดูแลของกลุ่มมัชฌิมา และภาคกลางอยู่ในความดูแลของกลุ่มนายสรอรรถ กลิ่นประทุม


ส่วนความเคลื่อนไหวของกลุ่มนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา ได้ตัวผู้สมัครเกือบครบทุกจังหวัดแล้ว คาดว่าจะได้ ส.ส.ภาคเหนือตอนล่างจังหวัดละ 1 คน แต่ยังมีปัญหาที่ จ.อุตรดิตถ์ จ.แพร่ จ.พิจิตร เนื่องจากอยู่ในระหว่างการคัดสรรบุคคลที่เหมาะสม โดยตั้งเป้าในการเลือกตั้งครั้งหน้า กลุ่มมัชฌิมาจะได้ ส.ส.เพิ่มขึ้น 15 คน หรืออย่างน้อย 12 คน ไม่รวมกับ ส.ส.ของกลุ่มที่มีอยู่เดิม 7 คน ซึ่งในครั้งหน้ากลุ่มมัชฌิมาจะต้องมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอย่างน้อย 2 คน


"เสี่ยตือ-อดีตทรท."โผล่ภูมิใจไทย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตกรรมการบริหารพรรคชาติไทย มาที่พรรคภูมิใจไทย พร้อมกล่าวว่า มาพูดคุยเรื่องส่วนตัว


เมื่อถามว่า จะย้ายมาอยู่พรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตนเป็นสิ่งชำรุดถูกเพิกถอนสิทธิแล้ว จะย้ายมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทยได้อย่างไร


น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รองโฆษกพรรคภูมิใจไทย แถลงว่า ในการประชุมพรรควันนี้ มีอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคความหวังใหม่มาร่วมประชุมกับพรรคด้วย 4 คน คือ น.ส.ภัทรา วรามิตร อดีต ส.ส.กาฬสินธุ์ นายสุชาติ ศรีสังข์ อดีต ส.ส.มหาสารคาม นายสรชาติ สุวรรณพรหม อดีต ส.ส.หนองบัวลำภู และนายศรคม ฤาชา อดีต ส.ส.ชัยภูมิ

ศาล รธน.นัดชี้ขาดพ.ร.ก.กู้เงิน 3 มิ.ย.นี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.15 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่อรับฟังคำชี้แจงในกรณีประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งความเห็นของ ส.ส. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185 กรณี พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรคหนึ่ง หรือวรรคสอง หรือไม่ โดยการพิจารณา นายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการเป็นผู้ทำหน้าที่ชี้แจงถึงขั้นตอน วิธีการในการดำเนินการ ซึ่งทางฝ่ายค้านในฐานะผู้ร้อง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการการเงินการคลัง ธนาคาร และสถาบันการเงิน เป็นผู้แทนชี้แจง ระบุว่า ในฐานะกรรมาธิการ ส.ส.เห็นพ้องต้องกัน ที่ต้องออกมาคัดค้านการออกพ.ร.ก.ของรัฐบาล เนื่องจากเห็นว่าไม่จำเป็น รวมถึงแผนงานโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการนั้นไม่ได้มีความจำเป็นเร่งด่วนเลย อีกทั้ง นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง และอธิบดีกรมบัญชีกลางได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าสภาพคล่องของประเทศยังดีอยู่ ตอนนี้ก็ใช้จ่ายเงินงบประมาณไปเพียง 50% เท่านั้น ดังนั้น รอจนใกล้สิ้นปีงบประมาณแล้วค่อยกู้ก็ได้ นอกจากนี้การออกพ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท ก็เกินความจำเป็น รวมทั้งรัฐควรชะลอการลงทุนออกไป


ด้านนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ในฐานะตัวแทนรัฐบาล ชี้แจงว่า ขณะนี้ประเทศประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจเนื่องจากได้รับผลกระทบเศรษฐกิจโลก และวิกฤติการเมืองตั้งแต่ปลายปี 2551 มูลค่าการส่งออกหดตัวลง รายได้จากการท่องเที่ยวลดลง ธุรกิจปิดกิจการเพิ่มขึ้น การว่างงานเพิ่มขึ้น หนี้เสียก็เพิ่มขึ้น ทำให้จีดีพีหดตัวลง รัฐบาลจึงต้องดำเนินมาตรการแก้เศรษฐกิจ


นายกรณ์กล่าวอีกว่า การลงทุนภายใต้โครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งจะเบิกจ่ายตั้งแต่ปี 2552-2553 ยังขาดอีกประมาณ 2.3 แสนล้านบาท ดังนั้นเราต้องมีอำนาจกู้เงินด่วนเพื่อดำเนินโครงการ หากไม่รีบเศรษฐกิจจะหนักกว่านี้ ผู้ประกอบการจะขาดทุน สายป่านจะขาด เกิดการลดการผลิต ลดการจ้างงาน และปิดกิจการ เป็นปัญหาสังคม และยังจะมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นส่งผลต่อปัญหาของประเทศ ทั้งนี้ ยืนยันว่าการออก พ.ร.ก.ครั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 และพ.ร.บ.วิธีพิจารณางบประมาณมาตรา 23 วรรคหนึ่ง และมาตรา 24 วรรคหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีนโยบายกู้เงินในประเทศอีก 9.4 หมื่นล้านบาท จึงไม่เข้าข่ายการทำสัญญากับต่างประเทศที่ต้องรายงานสภาตามมาตรา 190


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้ง 2 ฝ่ายใช้เวลาในการชี้แจงรวมประมาณ 40 นาที โดยไม่มีการซักถามจากคณะตุลาการ จากนั้นนายบุญส่งอ่านกระบวนวิธีพิจารณา พร้อมกับนัดคู่กรณีให้ส่งคำแถลงปิดคดีภายในวันที่ 3 มิถุนายน ก่อนที่คณะตุลาการจะแถลงด้วยวาจาและลงมติในวันเดียวกัน เวลา 10.00 น.


ภายหลังการชี้แจง นายกรณ์กล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 3 มิถุนายน จะไม่ส่งผลให้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ต้องเลื่อนจากกำหนดการเดิมคือในวันที่ 17-18 มิถุนายน เนื่องจากเรื่องนี้เป็นงบประมาณที่แยกคนละส่วนกับแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง โดยจะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญระหว่างวันที่ 17-18 มิถุนายน เพื่อพิจารณางบประมาณปี 2553


ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรณ์ได้รายงานเรื่องการไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ทราบแล้ว และมั่นใจว่าคงไม่มีปัญหา


เปิดสภาวิสามัญ15-23 มิ.ย.ถกงบปี 53


ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 26 พฤษภาคม เห็นชอบให้เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2553 ในวันที่ 15-23 มิถุนายนนี้ และเห็นชอบให้ประกาศกฤษฎีกาเลือกตั้งซ่อมที่ จ.ศรีสะเกษ โดยเปิดรับสมัครวันที่ 4-8 มิถุนายน และลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในวันที่ 28 มิถุนายน


ครม.ยกเลิกกำหนดอายุความผู้หนีคดี


นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอายุความ โดยมีหลักการ 2 เรื่อง คือ 1.แก้ไขกำหนดเวลาร้องทุกข์ในกรณีความผิดยอมความได้ และ 2.ยกเลิกอายุความฟ้องคดีและอายุความล่วงเลยการลงโทษสำหรับความผิดบางกรณี เกี่ยวกับการปกครองและการยุติธรรม รวมถึงกำหนดระยะเวลาการฟ้องบุคคลเหล่านั้นให้มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนขึ้น โดยมีเหตุผลว่าปัจจุบันการกระทำทุจริตของเจ้าพนักงาน โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการมีความสลับซับซ้อนทำให้ประเทศได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ไม่ว่าทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยผู้กระทำความผิดดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพล และมักจะหลบหนีจากกระบวนการยุติธรรม ฉะนั้นการกระทำความผิดดังกล่าวมักจะมีการรวบรวมพยานหลักฐานได้ยากลำบาก ต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการนาน  ส่งผลให้บางคดีขาดอายุความ ไม่สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้ ดังนั้น จึงสมควรนำหลักเกณฑ์การไม่มีกำหนดระยะเวลาของอายุความในความผิดบางประเภทมากำหนดไว้


นายศุภชัย กล่าวต่อไปว่า สาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์เกี่ยวกับอายุความในคดีความผิดส่วนตัว ถ้ามีผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิด และรู้ตัวผู้กระทำความผิด เป็นอันขาดอายุความ ซึ่งเดิมกำหนดไว้เพียงภายใน 3 เดือน และยกเลิกอายุความฟ้องคดีและอายุความล่วงเลยการลงโทษสำหรับความผิดบางกรณีเกี่ยวกับการปกครองและการยุติธรรม รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการฟ้องบุคคลให้มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนขึ้น คือ 1.กรณีได้ตัวผู้กระทำความผิดมาแล้ว ให้พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวน โดยเฉพาะพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาดำเนินการให้มีการฟ้องผู้นั้นต่อศาลภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้ตัวมา เว้นแต่ศาลจะอนุญาตให้ขยายเวลา 2.กรณีมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้กระทำความผิด ถ้าผู้นั้นยังไม่ได้รับโทษ หรือได้รับโทษยังไม่ครบถ้วน โดยหลบหนี ถ้ายังมิได้ตัวผู้นั้นมารับโทษนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือนับแต่วันที่หลบหนี แม้จะเกินกำหนดเวลาในมาตรา 98 เกี่ยวกับอายุความ ก็ไม่ถือว่าเป็นอันล่วงเลยเวลาการลงโทษ โดยให้ลงโทษผู้นั้นในโทษที่ยังไม่ได้รับหรือที่ได้รับยังไม่ครบถ้วน ซึ่งเรื่องนี้จะเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรต่อไป
 
นายศุภชัย ยอมรับหลังการเเถลงมติ ครม.ว่า การหลบหนีคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ในการเพิ่มอายุความในกรณีที่ผู้กระทำความผิดแล้วหลบหนีคดีที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมครม.เเล้ว แต่ก็ยอมรับว่า เป็นเรื่องยากที่เรื่องนี้จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาได้


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์