ทักษิณ แจงข่าวด่าคน กทม.

วันที่ 12 ส.ค. เมื่อเวลา 08.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน ออกอากาศทางสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางไป 3 จังหวัดภาคอีสานคือ ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด เพื่อติดตามงานตามนโยบายของรัฐบาล อาทิ โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค พบปัญหาแพทย์ไม่เพียงพอ ไปดูเรื่องเอกสิทธิ์ที่ดินทำกิน ดูเรื่องการแก้ปัญหาความยากจน โครงการหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง โครงการเอสเอ็มแอล การแก้ปัญหาความยากจนคำนวณแล้วใช้เงินเพียง 250 ล้านบาทต่ออำเภอ นอกจากนี้ ได้ไปพูดที่ จ.มหาสารคามเรื่องการเข้าถึงแหล่งข้อมูล พระพุทธเจ้าสอนหลักกาลามาสูตร ไม่ให้เชื่อใครง่ายๆ แต่สิ่งที่สำคัญคือเราไม่มีข้อมูลแท้จริง บางทีเจอคนพูดเก่งก็เชื่อ น่าเสียดายที่คน กทม.บางคนมีการศึกษายังไปเชื่อคนพูดเลอะเทอะ พูดไม่ค่อยดี แต่สื่อมวลชนบางฉบับกลับลงข่าวว่าตนด่าคน กทม.

โวยสื่อไม่ให้ความเป็นธรรม

ผมพูดสั้นๆ ปรากฏว่าเสียใจจริงๆที่สื่อหลายฉบับ โดยเฉพาะฉบับขาประจำมาเขียนว่าผมว่าคนกรุงเทพฯ ทั้งที่ผมบอกเพียงว่าขนาดคนอยู่กรุงเทพฯ คนเรียนหนังสือดี บางคนไปเชื่อ น่าจะตรวจสอบข้อมูลก่อน จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เช่น เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องหนี้สิน ไม่ได้ดูตัวเลข ไม่ได้ดูอะไรเลย กลับไปเชื่อคนยุยงปลุกปั้น เวลานี้ผมพูดอะไรทำอะไรก็ถูกว่าหมด เลยต้องระวัง เป็นเรื่องที่ผมลำบากใจ แต่ก็ถือว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ผมเคารพประชาชน ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ผมไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมจากสื่อบางฉบับหรือบางคอลัมนิสต์ ผมทำอะไรผิดหมด ต้องขอร้องว่าช่วยกรุณาให้ความเป็นธรรม ไม่ต้องเชียร์ไม่ต้องชม แต่ขอให้เป็นกลางหน่อย วันนี้ถ้าสังคมเป็นกลางบ้านเมืองจะดีมากๆ พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

ปัดข้อเสนอเลื่อนวันเลือกตั้ง

ต่อมาเวลา 09.30 น. ที่บ้านซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่รักษาการ ส.ว.เสนอให้เลื่อนวันเลือกตั้งวันที่ 15 ต.ค. ออกไปก่อน เพื่อให้ กกต.ชุดใหม่มีความพร้อมในการจัดการเลือกตั้งว่า ไม่ทราบ เอาไว้ค่อยว่ากัน เหตุยังไม่เกิด ยังไม่พิจารณา เพราะเป็นหน้าที่ ครม.ที่จะพิจารณา แต่เหตุยังไม่เกิดก็ยังไม่พิจารณา ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า แต่หลายฝ่ายเรียกร้องให้เลื่อนวันเลือกตั้งออกไป พ.ต.ท.ทักษิณตอบว่า หลายฝ่ายมันไม่เกี่ยว คนที่พูดไม่ใช่ กกต. และ กกต.ยังไม่รู้เลยว่าเป็นใคร ให้เลือกเสร็จก่อน

ณหทัย ประกาศวางมือการเมือง

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าอดีต ส.ส.กทม.พรรคไทยรักไทยหลายคนจะย้ายไปลงสมัครเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ เพราะกลัวสอบตก และบางคนอาจวางมือทางการเมืองชั่วคราว เพื่อไปทำธุรกิจส่วนตัวนั้น น.ส. ณหทัย ทิวไผ่งาม อดีต ส.ส.กทม. พรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกระแสข่าวจะเลิกเล่นการเมืองว่า เป็นความจริง จะเลิกเล่นการเมืองด้วยเหตุผลส่วนตัว หากต้องการทราบรายละเอียด ขอให้ไปถามบิดาของตนเอาเอง

ศิธา แทงกั๊กหนีลงปาร์ตี้ลิสต์

ขณะที่ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีต ส.ส.กทม. โฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ยังไม่ได้ข้อยุติว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะลงสมัครระบบเขตหรือบัญชีรายชื่อ ทางพรรคยังไม่ได้ตกลงกันว่าจะจัดใครอยู่ตรงไหน แต่ต้องขึ้นอยู่ กับความสมัครใจและหน้าที่ของแต่ละคนด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นเพราะหวั่นกระแสคน กทม.ใช่หรือไม่ น.ต.ศิธากล่าวว่า ยอมรับว่า ส.ส.กทม.มีโอกาสเข้าถึงชาวบ้านน้อยกว่า ส.ส.ต่างจังหวัด คน กทม.ส่วนใหญ่จึงสัมผัสกับ ส.ส.ผ่านสื่อ โดยบริโภคสื่อตามกระแส เหมือนในอดีตที่มีการปลุกกระแสว่า ระบอบทักษิณจะกินทั้งประเทศ เมื่อถามว่าแสดงว่ายอมรับว่ากระแสพรรคไทยรักไทยตกลง ใช่หรือไม่ น.ต.ศิธากล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับหรือไม่ แต่เป็นไปได้ที่คนจะเชื่อพวกชอบปล่อยข่าว อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้ทีมงานโฆษกพรรคไทยรักไทยคงจะต้องติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองให้ถี่ขึ้น และจะต้องจัดระบบการให้ข่าวให้ดี

สุรนันทน์ บอกอยู่ถึงวันเลือกตั้ง

นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รมต.ประจำสำนักนายก รัฐมนตรี กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าอาจจะลาออกจากรัฐมนตรี กล่าวถึงอนาคตทางการเมืองว่า ได้ตัดสินใจมานานแล้วว่าจะทำการเมืองต่อไป การเมืองมีหลายบทบาท ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. อาจอยู่ในองค์กรภาคประชาชนและภาคสื่อสารมวลชนก็ได้ บทบาทของตนจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องอนาคต แต่ปัจจุบันถือว่ายังเป็นรัฐมนตรี และยังคงช่วยงานพรรคอยู่ แม้จะเป็นตัวเล็กๆก็ตาม จะช่วยพรรคอย่างเต็มที่จนถึงวันเลือกตั้ง หลังจากนั้นขึ้นอยู่กับพรรคและสถานการณ์ การเมือง ต้องตัดสินใจอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ได้คุยกับหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคแล้ว ทุกคนเข้าใจ วันนี้ผมยังทำงานอยู่ ทำงานจนถึงวันสุดท้าย ช่วยพรรคจนถึงวันเลือกตั้ง จากนั้นบทบาทจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับพรรคและสถานการณ์ รวมถึงสิ่งที่ผมเชื่อ เพราะเข้ามาทำงานด้วยอุดมการณ์ หากอุดมการณ์และแนวคิดยังเป็นสิ่งที่เราเห็นด้วย ก็พร้อมจะช่วยงาน แต่ถ้าอุดมการณ์และแนวคิดไม่ตรงกัน ต้องหารือกันต่อไป