เปิดใจ..ชายชื่อชาติชาย วันที่ถูกกดดันหนัก..?

ชาติชาย พุคยาภรณ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เข้ารับตำแหน่งในรัฐบาล "มาร์ค 1"

ในโควต้า สรอรรถ กลิ่นประทุม นามพรรคภูมิใจไทย เป็นนักวิชาการ และนักบริหารการศึกษาที่เลื่องชื่อคนหนึ่ง ก่อนจะผันตัวเองมาเล่นการเมือง โดยมีชื่อเป็นผู้ช่วย สุรนันทน์ เวชชาชีวะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเลขานุการ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน ในรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

ก่อนจะเข้ามานั่งเก้าอี้ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แบบนาทีสุดท้ายก่อนส่งโผ

เวลานี้ถูกกดดันอย่างหนัก จาก ส.ส.ในกลุ่มเพื่อนเนวิน พรรค ภูมิใจไทย ให้พ้นจากตำแหน่ง

ชาติชาย พุคยาภรณ์ เปิดใจถึง "ผลงาน" ท่ามกลางกระแสกดดันอย่างหนัก โดยพยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องการเมืองมากนัก

ทราบข่าวเรื่องการที่มีชื่ออาจถูกปรับออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเมื่อไหร่

ผมไม่รู้เรื่องเลย เพราะไปราชการที่ประเทศญี่ปุ่น คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในพรรคภูมิใจไทยที่จะพูดคุยกัน เกี่ยวกับความเหมาะสมในตำแหน่ง ผมเชื่อมั่นในผู้ใหญ่ของพรรคหลายๆ คน ทั้งท่านชวรัตน์ (ชาญวีรกูล) ท่านพรทิวา (นาคาศัย) ท่านเนวิน (ชิดชอบ) ท่านสรอรรถ (กลิ่นประทุม) และอีกหลายคน เวลานี้ขอทำหน้าที่ให้เต็มที่ เพราะเมื่อมีโอกาสทำงาน และได้รับมอบหมายให้ทำงานก็ต้องทำให้ดีที่สุด

ถูกกล่าวหาว่า ไม่เข้าร่วมกิจกรรมของพรรค ไม่ให้ความสำคัญกับพรรค

เรื่องนี้ ผมคงต้องขอโทษ ที่ผ่านมาอาจละเลยต่อการทำกิจกรรมกับพรรค เพราะมัวมุ่งแต่ทำงานในหน้าที่ จนอาจละเลย ทำให้ผู้ใหญ่ที่เคารพหลายคนเข้าใจผิด ไม่เข้าใจในตัวผม แต่สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ จะเป็นบทเรียนในการทำงานการเมืองของผมเองในอนาคต ว่าการเข้ามาทำงานการเมือง ต้องจัดเวลา ให้น้ำหนักในหลายๆ เรื่อง เพื่อให้เกิดความสมดุล เพราะถ้าทำให้ทุกอย่างสมดุล ก็จะสามารถทำงานในหน้าที่ช่วยเหลือเกษตรกร ประชาชน และสังคมได้มากยิ่งขึ้น และที่ผ่านมาผมก็มีความสุข และภูมิใจกับการทำงานให้กับเกษตรกร

แสดงว่าที่ผ่านมาทำงานให้เกษตรกรแล้วภูมิใจหลายเรื่อง

ครับ..มันอาจจะไม่ค่อยเป็นข่าวใหญ่โต โด่งดัง แต่ก็มีความสุข และภาคภูมิใจกับการทำงานตลอดระยะเวลา 4-5 เดือนที่ผ่านมา อย่างการได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้ดูแลและเจรจากับเกษตรกรที่เรียกตัวเองว่า สภาประชาชน 4 ภาค ที่ออกมาเรียกร้องเรื่องที่ดินทำกินหน้ากระทรวงเกษตรฯนาน ตั้งแต่รัฐบาลชุดที่ผ่านมา เมื่อเราลงไปดู ไปสอบถามความรู้สึก ความเป็นอยู่ ลงตรวจสอบพื้นที่หลายแห่ง พบว่า เกษตรกรเหล่านี้เดือดร้อนจริง จึงนำข้อสรุปเสนอคณะรัฐมนตรีและได้รับการอนุมัติในหลักการในการจัดหาที่ดินทำกินให้เกษตรกรจำนวน 1,800 ราย ซึ่งอยู่ในโครงการของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553

หรืออย่างการเดินทางไปประเทศจีน ร่วมคณะกับท่านวีระชัย (วีระเมธีกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) เราก็ไปพบปะหารือกับรัฐมนตรีของประเทศจีน โดยมีการพูดคุยกันถึงเรื่องการขนส่งสินค้าประเภทผลไม้ทางบกที่ผ่านทางภาคอีสานของไทย ผ่านไปยังประเทศลาว เวียดนาม ถึงจีน กว่า 800 กิโลเมตร ซึ่งถูกระงับมากว่า 1 ปีเต็มๆ เพราะเราเห็นว่าหากยังใช้การขนส่งทางเรือ กว่าจะไปถึงจีนต้องใช้เวลา 2-3 วัน ทำให้ผลไม้ถึงมือผู้บริโภคช้า และผลไม้ก็จะเป็นผลไม้ที่ด้อยคุณภาพ ผลการเจรจาก็เป็นไปด้วยดี ล่าสุด คณะรัฐมนตรีก็ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงนามบันทึกความเข้าใจ ทำให้ไทยสามารถลำเลียงสินค้าเกษตรอย่างผลไม้โดยทางบกไปยังประเทศจีนได้เร็วขึ้น

ล่าสุด ผมมีแนวคิดที่จะผลักดันสหกรณ์ในประเทศไทยที่มีอยู่ 7,000-8,000 สหกรณ์ ให้สามารถทำการค้าในเวทีโลกได้ จึงเดินทางไปญี่ปุ่น เพื่อให้ประธานสหกรณ์ของไทยเจอกับประธานสหกรณ์ของญี่ปุ่น เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดในการพัฒนาระบบสหกรณ์ รวมถึงการส่งสินค้าประเภทผลไม้ไปขายยังญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น มะม่วง ทุเรียน มังคุด เพราะที่ผ่านมาผลไม้ไทยเข้าถึงผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นได้น้อยมาก ทั้งที่ญี่ปุ่นมีประชาชากรถึง 120 ล้านคน

ผมมองว่า ถ้าสหกรณ์ของไทย สามารถทำการตลาดเองได้ ทำธุรกรรมทางการค้าต่างประเทศได้ นั่นหมายความว่าเกษตรกรสามารถผลิตสินค้าให้ถูกและตรงความต้องการของผู้ค้าระหว่างประเทศได้ ซึ่งตอนนี้เราทำการเชื่อมสัมพันธ์ ทำความตกลงกับสหกรณ์ในญี่ปุ่นแล้ว และญี่ปุ่นเขาสนใจไอเดียของเรามาก จึงตกลงกันว่า ญี่ปุ่นกับไทย จะเป็น 2 ประเทศผู้นำในการพัฒนาระบบสหกรณ์เกี่ยวกับสินค้าเกษตรในภูมิภาคเอเชียทั้งหมด นั่นหมายความว่า ทุกสหกรณ์ในเอเชียจะเชื่อมโยงถึงกัน และแต่ละสหกรณ์ก็สามารถที่จะผลิตสินค้าตามความต้องการของผู้ค้าระหว่างประเทศให้มีคุณภาพมากขึ้น และเมื่อระบบสหกรณ์เข้มแข็ง ก็จะมีส่วนในการพัฒนาท้องถิ่นของแต่ละประเทศด้วย ตรงนี้จะเป็นโอกาสที่ดีของเกษตรกรไทยต่อไปในอนาคต

แล้วมองอนาคตการเมืองของตัวเองไว้อย่างไร

คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่