คมชัดลึก :ประชุมร่วมอัยการ-ป.ป.ช. หารือข้อกฎหมายสั่งคดีคตส.สองฝ่ายได้ข้อยุติ ร่างระเบียบเพิ่มวางแนวทางปฏิบัติให้อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องผู้ถูกกล่าวหาได้ตามที่เห็นสมควรหลังได้รับหลักฐานสอบเพิ่มคณะทำงานร่วม ไม่ต้องฟ้องทั้งหมด ส่วนที่เหลือให้อำนาจป.ป.ช. ฟ้องเอง เมื่อคดีขึ้นศาลให้ยื่นขอรวมสำนวนเดียวกัน หลังจากอัยการตรวจสำนวนคดีทุจริตกรุงไทย - บ้านเอื้ออาทร เห็นควรฟ้องบางคน
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.52 นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด ประธานคณะทำงานอัยการรับผิดชอบคดีที่สร้างความเสียหายแก่รัฐ กล่าวถึงการพิจารณาสำนวนคดีการทุจริตปล่อยกู้สินเชื่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มูลค่า 9,000 ล้านบาทที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี , คณะกรรมการ (บอร์ด) บริหารธนาคาร และบริษัทเอกชน รวม 31 ราย ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา และทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ กรณีเรียกรับเงินจากบริษัทเอกชน ที่มีนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กับพวก ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ว่า หลังจากที่คณะทำงานอัยการประชุมร่วมกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อปรึกษาหาข้อยุติปัญหาข้อกฎหมายการสั่งคดีแล้ว คาดว่าจะใช้เวลาอีกระยะที่คณะทำงานอัยการจะตรวจสำนวนเพื่อเสนอความเห็นให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ว่า พยานหลักฐานที่คณะทำงานร่วมอัยการ - ป.ป.ช. รวบรวมส่งมาให้แล้วนั้นเพียงพอที่จะฟ้องผู้ถูกกล่าวหารายใดบ้าง ซึ่งอัยการจะดำเนินการให้เร็วที่สุด
ขณะที่แหล่งข่าวคณะทำงานอัยการรับผิดชอบคดีที่สร้างความเสียหายแก่รัฐ เปิดเผยถึงการประชุมร่วมคณะทำงานอัยการ กับนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา เรื่องข้อกฎหมายการพิจารณาสำนวนต่างๆ ที่ได้รับมาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ว่า โดยการหารือของคณะทำงานอัยการ และ ป.ป.ช. บรรยากาศเป็นไปด้วยดี โดยทั้งสองฝ่ายเห็นควรที่อัยการและ ป.ป.ช. จะร่วมร่างระเบียบการสั่งคดีขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ
โดยเบื้องต้นเห็นว่าหลังจากคณะทำงานร่วม ป.ป.ช. - อัยการ รวบรวมประเด็นข้อไม่สมบูรณ์ในสำนวนแล้ว ให้อัยการสูงสุดมีเวลาที่จะพิจารณาสำนวนอีกครั้ง และหากอัยการมีความเห็นแตกต่างที่จะฟ้องผู้ถูกกล่าวหาบางคน ไม่ฟ้องทั้งหมด ก็ให้แจ้ง ป.ป.ช.ทราบ และเมื่อได้ข้อยุติแล้ว ให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ส่วนผู้กล่าวหาที่เหลือให้ ป.ป.ช.ใช้อำนาจยื่นฟ้องเอง แล้วเมื่อคดีเข้าสู่ศาลแล้วจึงจะยื่นคำร้องต่อศาลขอรวมคดีเป็นสำนวนเดียวกันในภายหลัง โดยการหารือครั้งนี้สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อคณะทำงานอัยการ ได้รับสำนวนที่คณะทำงานร่วม ป.ป.ช.-อัยการ รวบรวมประเด็นสอบสวนเพิ่มเติมข้อไม่สมบูรณ์การทุจริตปล่อยกู้สินเชื่อ ธ.กรุงไทยฯ และทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรฯ ตั้งแต่เมื่อเดือน ก.พ.-มี.ค.ที่ผ่านมาแล้ว
คณะทำงานและอัยการสูงสุด เห็นว่า ยังมีปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจอัยการสูงสุด ในการพิจารณาสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติมของคณะทำงานร่วม ป.ป.ช.-อัยการว่า อัยการสูงสุด มีความเห็นต่างได้หรือไม่ ก่อนที่จะยื่นฟ้อง ตามที่พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 97 วรรคสอง ที่บัญญัติไว้ว่า เมื่อคณะทำงานร่วมสองฝ่ายดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานให้สมบูรณ์แล้วส่งให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อไป ซึ่งฝ่ายอัยการเห็นว่า อัยการสูงสุดน่าจะพิจารณากลั่นกรองสำนวนได้อีกครั้งก่อนที่จะยื่นฟ้อง เพราะเห็นว่าพยานหลักฐานในสำนวนไม่เพียงพอที่ยื่นฟ้องศาลเอาผิดผู้ถูกกล่าวได้ทุกคน ซึ่งหากยื่นฟ้องโดยที่พยานหลักฐานและองค์ประกอบความผิดไม่ครบถ้วนก็อาจส่งผลต่อรูปคดีได้