คมชัดลึก :“ทักษิณ ชินวัตร” ร่อนแถลงการณ์ ฉบับ 3 เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ผบช.ก. พร้อมลุยคดี"ทักษิณ"หมิ่นสถาบัน ชี้ข้อมูลชัดไม่ต้องเชิญ "นักข่าวนอก-ทักษิณ" มาให้ปากคำ ระบุพบเว็บหมิ่นฯอื้อ 1,400 เว็บ หมอพรทิพย์รับการพิสูจน์ตู้คอนเทนเนอร์มีอุปสรรค
ภายหลังคณะกรรมการตรวจสอบพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่มีผลกระทบต่อสถาบันพระมาหากษัตริย์ โดยมีคณะกรรมการตัวแทนจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) และสำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สทส.)
สรุปผลสอบ กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์ต่างประเทศในช่วงวันที่ 12-13 เมษายน ที่ผ่านมา ว่าเข้าข่ายความผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีความเห็นสั่งฟ้องและให้ส่งพยานหลักฐานทั้งหมดให้กองบัญชาการสอบสวนกลางดำเนินคดี ในที่ 15 พฤษภาคมนั้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 ผ่านคณะทำงานของนายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมาย ซึ่งเนื้อหาระบุว่า ได้รับทราบเรื่องการถูกตั้งข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ด้วยความสะเทือนใจยิ่ง เนื่องจากข้อกล่าวหานี้เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง และขัดกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
อดีตนายกรัฐมนตรียืนยันว่า มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับคนไทยทุกคน การให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศที่อ้างถึงนั้น ไม่มีข้อความใดเลยที่จะมีเจตนาที่จะหมิ่น หรือจาบจ้วงพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นที่เทิดทูนและเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทุกคน
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า ในอดีตมีการพยายามใส่ร้ายป้ายสีและดำเนินคดีตนในทำนองนี้หลายคดี แต่อัยการสั่งไม่ฟ้องทุกคดีที่ตำรวจเสนอสำนวนขึ้นไป และขอย้ำว่า ตนประสงค์ที่จะเห็นความปรองดองของคนในชาติ ไม่ปรารถนาที่จะเห็นการทำลายล้างกันทางการเมืองในสังคมไทย โดยการยัดเยียดข้อกล่าวหาที่ปราศจากข้อเท็จจริงและเจตนาของผู้ที่ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ
"ผมจะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผมจนถึงที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ผมจะไม่ยอมให้ผู้ใด ไม่ว่าจะดำเนินการเอง หรือมีใครบงการให้กระทำ มากล่าวหาผมอย่างเป็นเท็จ ว่าผมมีเจตนาหมิ่นพระมหากษัตริย์ ทั้งๆที่ผมมีความจงรักภักดีและเทิดทูนเหนือหัว และความจงรักภักดีที่ผมมีต่อพระองค์จะยังคงอยู่ในหัวใจของผมจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แม้ตัวผมจะพำนักอยู่หนใดในโลกก็ตาม" พ.ต.ท.ทักษิณระบุ
ผบช.ก.ลุยคดี “ทักษิณ”หมิ่นสถาบัน
ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก) กล่าวถึงการพิจารณากรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์สื่อต่างประเทศ โดยเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า หลังจากคณะกรรมการตรวจสอบและพิจารณาข้อมูลข่าวสารที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ของกองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) พิจารณาแล้วว่าเข้าข่ายความผิด ก็ยังไม่ได้ส่งเรื่องมายัง บช.ก.อย่างเป็นทางการ แต่ในคณะกรรมการชุดนั้น มีตัวแทนของบช.ก.ร่วมอยู่ด้วยจึงทราบรายละเอียดเบื้องต้นแล้ว ดังนั้นเมื่อรับเรื่องมาก็สามารถดำเนินการได้ทันทีโดยคณะพนักงานสอบสวนของบช.ก. ซึ่งมี พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รองผบช. เป็นประธาน มีตำรวจสังกัดกองบังคับการปราบปรามเป็นคณะพนักงานสอบสวน
ผบช.ก. กล่าวว่า ทันทีที่ได้รับเรื่องคณะพนักงานสอบสวนต้องประชุมและดำเนินการนำคำสัมภาษณ์นั้นมาแปลเป็นภาษาไทยเสียก่อน เบื้องต้นกำหนดให้กองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้แปล แต่เพื่อความรัดกุมยิ่งขึ้น ก็จะเชิญตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศ มาช่วยในการแปลด้วย อย่างไรก็ตามจากการดูข้อมูลตนคิดว่าไม่จะเป็นจะต้องเชิญผู้สื่อข่าวที่สัมภาษณ์ และตัวพ.ต.ท.ทักษิณ มาสอบปากคำ เพราะข้อมูลที่เผยแพร่นั้นถือชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งนี้ ตามกรอบเวลาแล้วพนักงานสอบสวนมีเวลาในการทำสำนวน 3 เดือน แต่ตนจะเร่งรัดให้เร็วที่สุด
“เมื่อพนักงานสอบสวนของบช.ก.สรุปสำนวนแล้ว ต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีรองผบ.ตร.ที่รับผิดชอบและคณะกรรมการพิจารณาอีก 51 นาย นำไปพิจารณาอีกครั้งก่อนส่งสำนวนให้อัยการ โดยเรื่องนี้ไม่มีการเร่งรัดหรือสั่งการพิเศษจากรัฐบาลหรือจากใคร เป็นการทำไปตามหน้าที่” พล.ต.ท.ไถง กล่าว
"นอกจากนี้ยังมีคดีหมิ่นสถาบันจำนวนมากที่บช.ก.กำลังพิจารณา เฉพาะเว็บไซต์มีมากถึง 1,400 เว็บไซต์ ส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ มีของไทยประมาณ 40-50 เว็บ ที่ผ่านมาก็ปิดไปจำนวนมาก มีการดำเนินการเรื่องนี้ตลอด"พล.ต.ท.ไถง กล่าว
ส่วนเรื่องการดำเนินคดีกับสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ดีสเตชั่น นั้น พล.ต.ท.ไถงกล่าวว่า แม้มีมวลชนมาขัดขวางไม่ให้ตำรวจเข้ายึดเครื่องส่งสัญญาณ ก็ไม่มีปัญหาในการดำเนินคดีตามพ.ร.บ.วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ แต่อย่างใด พนักงานสอบสวนยังสามารถดำเนินคดีไปได้ โดยยังพยานหลักฐานอื่น เทียบเคียงกับคดีลอบยิงสมมุติว่าไม่ได้ปืนเป็นหลักฐานก็มีหลักฐานอื่นที่เชื่อมโยงดำเนินคดีได้
“อภิสิทธิ์”วอนผ่านสื่อเทศทักษิณกลับบ้าน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวคำปราศรัยที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยไปพูดมาเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม โดยเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางกลับมาเผชิญข้อกล่าวหาในไทย แต่ปฏิเสธว่า จะไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ
"เขา (ทักษิณ) สามารถคาดหวังความยุติธรรมจากไทยได้ แต่เขาต้องยอมรับสิ่งที่จะตามมาจากการกระทำของตัวเองด้วย" นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า รัฐบาลไทยจะพิจารณาเรื่องการนิรโทษกรรมให้แก่สมาชิกพรรคฝ่ายค้านที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสมานฉันท์เพื่อเรียกความสงบเรียบร้อยในประเทศกลับคืนมา แต่ย้ำว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่รวมอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับการนิรโทษกรรมครั้งนี้
"เราพูดคุยกันเรื่องนิรโทษกรรมให้ผู้ที่ละเมิดเงื่อนไขทางการเมือง แต่เราไม่สนใจที่จะนิรโทษกรรมให้ผู้ที่กระทำความผิดในคดีอาญา พ.ต.ท.ทักษิณถูกตัดสินว่ามีความผิด เขาละเมิดกฎหมาย เขาต้องรับผิดชอบสิ่งที่ได้ทำลงไป" นายอภิสิทธิ์กล่าว
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งได้พบกับนายโดนัลด์ จาง หัวหน้าคณะผู้บริหารเกาะฮ่องกง ในวันเดียวกันนี้ ยังกล่าวด้วยว่า ทั้งสองฝ่ายกำลังทำเรื่องข้อตกลงส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับไทย เพื่ออดีตนายกฯ จะได้ไม่มาเหยียบฮ่องกงอีกครั้ง และว่านายจางกำลังทำเรื่องนี้อยู่ และหวังว่าจะได้ข้อสรุปโดยเร็ว
เสื้อแดงลำปางเตรียมจัดงานคอนเสิร์ต "แดงทั้งแผ่นดิน"
นายสหรัษ นนทมา เลขาธิการสภาประชาชนล้านนาภาคเหนือตอนบน เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางกลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดลำปาง ได้เตรียมจัดงาน คอนเสิร์ต ”แดงทั้งแผ่นดิน และงานชุมนุมคนเสื้อแดง “ ที่จังหวัดลำปาง ประมาณต้นเดือน มิถุนายน ส่วนวันที่จะได้มีการกำหนดอีกครั้งหนึ่ง สำหรับสถานที่ได้จัดเตรียมไว้แล้ว ซึ่งตั้งอยู่ในตัว อ.เมือง ลำปาง และภายในงานจะมีศิลปิน นำโดยนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และดารานักร้อง และแกนนำคนสำคัญหลายคน นอกจากนี้ จะมีการจัดนิทรรศการแจกเอกสาร และวีซีดี ใครทำร้ายประเทศไทย ให้กับประชาชนผู้ร่วมงาน อย่างไรก็ตาม การจัดงานครั้งนี้ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาร่วมรับฟังการปราศัย และเป็นการเปิดเผยความจริง ให้ประชาชนได้รู้ความจริงใน การทำงานของรัฐบาลยุคปัจจุบัน ที่มีสองมาตรฐาน การกู้เงินของรัฐบาลเพิ่ม รวมทั้งเรื่องอื่นๆ
นายกฯสั่งก.ยุติธรรมตรวจตู้คอนเทนเนอร์ปริศนา
พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กล่าวถึงการดำเนินการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ปริศนาที่ช่องแสมสาร ว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมเป็นแม่งานในการตรวจสอบแล้ว ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ดำเนินการทุกอย่างไปตามอำนาจหน้าที่ จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.มิสกวัน บัวรา ผู้บังคับการตำรวจน้ำ (ผบก.รน.) เข้าไปร่วมพิสูจน์ทราบพร้อมประสานการทำงานร่วมกับกระทรวงยุติธรรมและกองทัพเรือ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทางตำรวจน้ำได้เข้าตรวจสอบหาเจ้าของและที่มาที่ไปของตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมดแล้ว แต่ในรายละเอียดเรื่องผลการตรวจสอบให้กระทรวงยุติธรรมในฐานะเป็นแม่งานเป็นผู้อธิบายจะเหมาะสมกว่า
"ดีเอสไอ"ระบุยังไม่กู้ตู้คอนเทรนเนอร์แสมสาร
พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ผอ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบตู้คอนเทรนเนอร์ที่จมอยู่ใต้ทะเลเกาะแสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ว่า ดีเอสไอได้ส่งเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ 2 นาย ร่วมเป็นทีมสังเกตการณ์การตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น โดยในชั้นนี้เป็นเพียงการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น จะยังไม่มีการเก็บกู้ตู้คอนเทรนเนอร์ขึ้นมาเปิดพิสูจน์จนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับที่มาของตู้คอนเทรนเนอร์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่าบริเวณร่องน้ำลึกที่พบตู้คอนเทรนเนอร์นั้น เคยเป็นเส้นทางการเดินเรือนขนถ่ายสินค้า นอกจากนี้ในสมัยที่สหรัฐอเมริกาเคยเข้ามาตั้งฐานทัพที่อ.สัตหีบ ได้ใช้ร่องน้ำดังกล่าวเป็นเส้นทางเดินเรือด้วย ดังนั้นการตรวจพิสูจน์ตู้คอนเทรนเนอร์จำเป็นต้องมีข้อมูลรอบด้าน โดยจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความน่าจะเป็นกับความเชื่อที่พูดกันปากต่อปาก ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับค่าใช้จ่าย
รายงานข่าวเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ชุดสืบสวนดีเอสไอ นำทีมโดยพ.ต.อ.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ ช่วยราชการดีเอสไอ ต้องใช้งบประมาณนับหมื่นบาทจ่ายเป็นค่าน้ำมันเรือในการนำทีมออกสำรวจค้นหาตู้คอนเทรนเนอร์ ตามที่ได้รับเบาะแสจากชาวบ้านว่า มีการนำศพแรงงานต่างด้าวที่เสียชีวิตใส่ตู้คอนเทรนเนอร์มาทิ้งในอ่าวไทย โดยชุดสืบสวนได้สำรวจพื้นที่ใต้ทะเลจากชายฝั่งออกไปถึง 50 ไมล์ทะเล ดังนั้นการตรวจพิสูจน์หลังจากนี้จึงต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอและคุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายมหาศาลที่ต้องใช้ในการกู้ตู้คอนเทรนเนอร์ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในชั้นสืบสวนไม่พบเหตุผลและข้อมูลที่น่าเชื่อว่า จะมีการขนย้ายศพจำนวนมากจากเหตุพฤษภาทมิฬในกรุงเทพฯมาทิ้งกลางทะเล ประเด็นดังกล่าวจึงยังเป็นข้อมูลที่เลื่อนลอย
หมอพรทิพย์รับการพิสูจน์ตู้คอนเทนเนอร์มีอุปสรรค
แพทย์หญิงคุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า ในการพิสูจน์ตู้คอนเทนเนอร์ที่จมอยู่ใต้ทะเลน่านน้ำของจ.ชลบุรี ขนะนี้ทราบถึงพิกัดแล้ว และสามารถยืนยันพิกัดในจุดแรกที่ลงไปดำน้ำตรวจสอบก็คือ พิกัดแลตติจูด 12 องศา 310.172 ลิปดาเหนือ ลองติจูด 101 องศา 04.109 ลิปดาตะวันออก ทางชุดประดำน้ำจึงได้ทำการผูกทุ่นเป็นสัญญลักษณ์ในการดำน้ำและการค้นหา
เบื้องต้นชุดประดาน้ำของกรมสรรพาวุธทหารเรือ ได้พบอุปสรรคคลื่นลมจัด น้ำขุ่น ท้องฟ้ามืด มีฝนตกอย่างต่อเนื่อง นักดำได้ดำน้ำลงไปขูดเพรียงบริเวณรอบตู้คอนเทเนอร์ เพื่อต้องการหาหมายเลข ตัวอักษร และหลักฐานอื่นที่จะสามารถตรวจสอบที่มาของตู้คอนเทเนอร์
ทั้งนี้การดำน้ำของนักประดาน้ำกองทัพเรือ เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะมีคลื่น ลม ฝนตก ท้องฟ้ามืด ขณะนี้ต้องเก็บหลักฐานโดยรอบตู้คอนเทเนอร์ วัตถุใกล้เคียง โดยเฉพาะดินทราย เพื่อนำไปพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าบริเวณดังกล่าวมีสารพิษหรือสารปนเปื้อนอันตรายหรือไม่ เพราะถ้ามีการประสานเรือเครนขนาดใหญ่ลงไปยกขึ้นจากทะเล จะได้ไม่เกิดอันตรายกับกำลังพลในการเก็บกู้
"ใกล้เวลาแล้วสำหรับการไขปริศนาในตู้คอนเทเนอร์ว่ามีอะไรคนที่รอคอยจะได้สบายใจ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ต้องยอมรับกัน การทำงานครั้งนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา สิ่งที่ต้องพบล้วนแล้วเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นบรรทัดฐานจะไม่สามารถนิ่งดูดายกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้อีกโดย"แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ ระบุ
ออกหมายจับ"ขวัญชัย"ตั้งวิทยุชุมชนผิดกม.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. ได้ออกหมายเรียกนายขวัญชัย สารคำ หรือ “ขวัญชัย ไพรพนา” อายุ 56 ปี ประธานชมรมคนรักอุดร และแกนนำ นปช. รุ่นสอง มาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 19 พฤษภาคม นี้เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา จัดตั้งสถานีวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และมี ใช้ ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต
ทั้งนี้สืบเนื่องจาก พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี ผกก.3 บก.ป. ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นสถานีวิทยุชุมชนคนรักอุดร คลื่น 97.5 FM. เลขที่ 297/3 หมู่ 9 ซ.บ้านหนองเหล็ก ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 16 เมษายน ที่ผ่านมา โดยครั้งนั้นได้จับกุมนายวชิร คำสืบ ผู้จัดรายการของสถานีดังกล่าวในข้อหาทำ มีใช้ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมของกลางเครื่องส่งสัญญาณ และอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระจายเสียง รวม 17 ราย
จากการสอบสวนนายวชิร ให้การซัดทอดว่า สถานีวิทยุแห่งนี้มีนายขวัญชัย เป็นผู้ก่อตั้ง และดูแลการจัดรายการต่างๆของทางสถานี พนักงานสอบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องจนเป็นที่แน่ชัดจึงออกหมายเรียกนายขวัญชัยมารับทราบข้อกล่าวหา
กกต.พร้อมเลือกตั้งใหม่สกลนคร21มิ.ย.นี้
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต .) นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กกต . กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกา มีคำสั่งยืนตามกกต.เพิกถอนสิทธิ์(ใบแดง ) นายพงษ์ศักดิ์ บุญศล ส.ส.สกลนคร เขต 3 พรรคเพื่อไทย ว่า จากที่ได้หารือด้านบริหารการเลือกตั้ง ได้มีการกำหนดแผนงานการเลือกตั้งใหม่ ในวันอาทิตย์ที่ 21 มิ . ย . โดยจะเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. - 1 มิ.ย. และกำหนดวันเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตจังหวัดวันที่ 13 - 14 มิ.ย. อย่างไรก็ตามความแน่นอนของวันเลือกตั้งยังต้องรอพระราชกฤษฎีกา( พ.ร.ฏ.) เลือกตั้งก่อน ซึ่งกกต.จะมีการหารือในวันจันทร์ 18 พ.ค.นี้ ก่อนจะส่งร่างพ.ร.ฏ.เลือกตั้งไปให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเข้าครม . และเสนอทูลเกล้าฯต่อไป
เมื่อถามว่า ศาลฎีกายกคำร้องของกกต.ในอีก 4 สำนวน จะทำให้การทำงานของกกต . ในอนาคตจะมีปัญหาหรือไม่ นายประพันธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาศาลก็มีความเห็นยืนตามกกต.ก็มี ยกคำร้องก็มีถือเป็นเรื่องธรรมดาปกติ แต่ตรงนี้ถือเป็นจุดที่บอกว่ากกต.ไม่ได้มีอำนาจมากอย่างที่มีการกล่าวถึง โดยรัฐธรรมนูญปี 50 กกต.มีอำนาจให้ใบเหลืองใบแดงก่อนการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งเท่านั้น หลังจากการประกาศรับรองผลแล้วเป็นอำนาจของศาลที่เข้ามาถ่วงดุล ซึ่งถือเป็นข้อดีของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
“อำนาจกกต.ตามรัฐธรรมนูญปี 50 ไม่ถือว่าเด็ดขาด ที่กฎหมายให้เวลากกต.ในการให้ใบเหลืองหรือใบแดงก่อนการประกาศรับรองผลได้เป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน ถ้าไม่ให้เลยก็จะมีปัญหาว่ากกต. ไม่รู้จะจัดการกับคนทุจริตซื่อเสียงได้อย่างไร แต่เมื่อมีการประกาศรับรองผลไปแล้วกกต.ทำได้เพียงส่งความเห็นไปที่ศาลฎีกาในกรณีเลือกตั้งส.ส. , ส.ว. และศาลอุทธรณ์กรณีการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งศาลจะใช้ระบบไต่สวนในการพิจารณา ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถนำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างได้ ถ้ามีน้ำหนักศาลก็จะยกคำร้องของกกต.แต่ถ้าพยานหลักฐาน กกต . ฟังขึ้น ศาลจะยืนตาม กกต . ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา ” นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ กล่าวยืนยันว่า การที่ศาลยกคำร้องกกต. ใน 4 สำนวนทุจริตของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งหนึ่งในนั้นดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารพรรค ไม่น่าจะเกิดจากมีการวิ่งเต้นให้พนักงานกกต.ทำสำนวนอ่อน เพราะกว่าที่กกต.จะมีคำวินิจฉัย ต้องผ่านหลายขั้นตอนทั้งอนุกรรมการสืบสวนสอบสวน กกต.จว. อนุกรรมการวินิจฉัยเรื่องร้องคัดค้าน และกกต.โดยเราก็มีการกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ให้มีการปฏิบัติงานเที่ยงตรง ดังนั้นเชื่อว่าการตัดสินของศาลน่าจะเป็นไปตามพยานหลักฐานในสำนวน
นายประพันธ์ ยังกล่าวแสดงความไม่เห็นด้วยกับให้มีศาลเลือกตั้ง ว่า หลักเกณฑ์การให้ใบเหลืองหรือใบแดงตามรัฐธรรมนูญปี 50 ที่ให้เป็นอำนาจศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ถือว่าดีอยู่แล้ว ดังนั้นที่มีการเสนอว่าจะมีศาลเลือกตั้งขึ้นมาพิจารณาก็ไม่รู้ว่า มีรูปแบบอย่างไร และผู้พิพากษาจะมาจากไหน ดูแล้วเหมือจะเป็นการเพิ่มประเภทของศาลขึ้นมาอีก และสิ้นเปลืองงบประมาณ ซึ่งปัจจุบันศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างจากศาลเลือกตั้งอยู่แล้ว
“ประพันธ์”ชี้แก้รธน.ฟังเสียงปชช.มั่นใจไร้ปัญหาแน่
นายประพันธ์ กล่าวกรณีการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะอนุกรรมการที่ส่อเค้าจะมีความขัดแย้งรุนแรงว่า เป็นเรื่องที่คณะอนุกรรมการจะพิจารณาแต่การที่มาพูดคุยกันบนโต๊ะย่อมดีกว่าไปคุยกันข้างนอก ที่สุดท้ายหาข้อยุติกันไม่ได้ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญถ้ามีการรับฟังความเห็นประชาชนให้ตกผลึก ประชาชนเห็นอย่างไรก็แก้ไขไปตามนั้น จะเป็นเรื่องที่ดีไม่มีปัญหาเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่าอนุกรรมการจะเสนอให้แก้ไขมาตรา 237 โดยตัดวรรค 2 ที่เกี่ยวการการเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีออกทั้งหมด นายประพันธ์ กล่าวว่า ก็ต้องมีการชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย ซึ่งเจตนารมณ์ของการมีวรรค 2 ก็เพื่อแก้ไขปัญหาการซื้อเสียง แต่เท่าที่ได้ยิน เห็นบอกว่าจะมีการแก้เรื่องไม่ให้มีการยุบพรรคด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงมาตรการเรื่องการยุบพรรคไม่ได้เกิดในรัฐธรรมนูญปี 50 แต่มีมาตั้งแต่ปีรัฐธรรมนูญปี 40
เมื่อถามว่า ฝ่ายการเมืองมองว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 237 เป็นเหมือนยาพิษที่ละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน นายประพันธ์ กล่าวว่า คงไม่ใช่เรื่องของยาพิษ เพราะการจะใช้มาตรา 237 วรรค 2 ได้ต้องเป็นการกระทำผิดที่ร้ายแรง เป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งการปกครองประเทศโดยมิชอบ ซึ่งถ้าตัดมาตรานี้ออกก็ต้องดูว่าอนุกรรมการจะมีมาตรการในการป้องกันการซื้อสิทธิ์ขายเสียงที่ดีกว่าอย่างไร
ส.ว.เลือกตั้งหนุนให้คงที่มาส.ว.สรรหาไว้ในรธน.
เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมานายสาย กังกะเวคิน ส.ว.ระยอง หนึ่งในกลุ่ม 40 ส.ว. ได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา ประธานคณะอนุกรรมการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้คณะอนุกรรมการฯพิจารณาในส่วนของที่มาของส.ว.โดยคงสภาพส.ว.สรรหาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข ตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 เช่นเดิม
นายสาย กล่าวว่า ตนได้ยื่นเรื่องไปแล้ว โดยเห็นว่าการส.ว.ที่มาจากการสรรหามีโอกาสเลือกได้คนที่ดีมีคุณภาพมากกว่าส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เพราะจากอดีตที่ผ่านมาได้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้ง 2 สมัย มีพฤติการณ์ที่ไม่ชอบมาพากลจนมีผู้ให้สมญานามว่าสภาทาส และสภาผัวเมีย แต่ในทางตรงข้ามเมื่อเทียบกับส.ว.รุ่นที่ได้รับการแต่งตั้งในสมัยนายบรรหาญ ศิลปะอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี และส.ว.ชุดปัจจุบันที่ทำหน้าที่ได้อย่างมีคุณภาพทั้งส.ว.ที่มาจากการสรรหา และเลือกตั้ง ซึ่งไม่มีความเสื่อมเสียใดๆ อีกทั้งยังสร้างคุณประโยชน์มากมายให้ประเทศชาติ โดยเฉพาะส.ว.ที่มาจากการสรรหา ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดทั้งในด้านการตรวจสอบรัฐบาล ตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรอิสระและนิติบัญญัติได้เป็นอย่างดีจนเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั่วไป นอกจากนี้ยังสามารถทำงานร่วมกับส.ว.ที่มาจากการเลือกตั้งได้เป็นอย่างดี
นายสาย กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์ที่ตนเคยเป็นอดีตส.ว.มาถึง 2 สมัย และมาจากการเลือกตั้ง เห็นควรให้มีระบบวุฒิสภาผสมที่มีทั้งส.ว.เลือกตั้งและส.ว.สรรหาเพื่อรักษาสมดุลการทำหน้าที่ของวุฒิสภา ในการตรวจสอบนักการเมือง รัฐบาล ข้าราชการที่ประพฤตินอกกรอบกฎหมาย
“พท.”เตรียมนำผู้เสียหาย-ญาติวันสลายชุมนุมแจง
ที่รัฐสภา นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์สลายการชุมนุมทางการเมือง เปิดเผยว่า หลังจากการชี้แจงของนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ รองนายกฯ ที่จะมาชี้แจงข้อเท็จจริงกับคณะกรรมการในวันที่ 18 พ.ค.นี้ เสร็จสิ้นแล้ว ตนจะเสนอต่อที่ประชุมเพื่อให้เรียก ญาติผู้เสียหาย ตัวผู้เสียหาย และผู้อยู่ในเหตุการณ์ มาให้ข้อเท็จจริง แก่คณะกรรมการฯด้วย เนื่องจากพบข้อพิรุธ ในหลายๆเรื่อง เพื่อนำข้อมูลมายันกับฝ่ายรัฐบาล
"พล.อ.เลิศรัตน์”ค้านขึ้นภาษีน้ำมันชี้โยนภาระประชาชน
พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา กล่าวถึงการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ว่า ตนไม่เห้นด้วยเพราะถือว่าเพิ่มภาระให้กับประชาชนและผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจค่อนข้างสูง และเป็นโยนภาระหนักให้กับประชาชนและภาคธุรกิจโดยตรง จึงคิดว่าการจัดเก็บรายได้ด้วยวิธีการเช่นนี้ง่าย และรายได้ค่อนข้างสูง ประมาณ 1 แสนกว่าล้านบาท จึงรีบคว้ามาดำเนินการทันที เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลบอกว่าไม่มีผลกระทบต่อประชาชน จึงไม่เป็นความจริง เพราะมีผลกระทบต่อประชาชนเต็ม ๆ โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ด้วยถือว่าเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
“ปัจจุบันราคาน้ำมันสวนทางกับความเป็นจริงกับราคาตลาดโลก แถมประชาชนยังต้องมาจ่ายเงินให้กับรัฐค่อนข้างสูง และจะต้องแบกรับภาระอันหนักนี้ไปอีก 2-3 ปี เพราะฉนั้นผมคิดว่ารัฐบาลน่าจะหารายได้เข้ารัฐด้วยวิธีการอื่นที่ทำให้ประชาชนมีผลกระทบน้อยกว่านี้น่าจะเหมาะสมกว่า” พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าว