คมชัดลึก : นิสิตจุฬาฯ โร่แจ้งจับสองพี่น้องลูกชาย "ชูวิทย์" วางมวยต่อยเบ้าตาช้ำ กรามหัก กลางผับดังย่านสุขุมวิท เผยไปจัดงานหาทุนเข้ามูลนิธิ บังเอิญกลุ่มลูกชูวิทย์พาสาวไปเที่ยว เจอคู่อริเก่ามีเรื่องทะเลาะวิวาท หวังดีเข้าห้าม กลับถูกตะบันหน้าหงาย ตร.เตรียมเรียกรับทราบข้อหา "ชูวิทย์"แถลงลูกถูกรปภ.ช็อตไฟฟ้าเจ็บ
เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 15 พฤษภาคม นายอิทธิ วราวุฒิ อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6/3 ซอยจุลินทร์และมิตร ถนนเจิมจอมพล ต.ศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าแจ้งความต่อ ร.ต.ท.หญิง จีรนันทร์ ทองช่างเหล็ก ร้อยเวร สน.คลองตัน เพื่อให้ดำเนินคดีกับ นายต้นตระกูล กมลวิศิษฎ์ และนายเติมตระกูล กมลวิศิษฎ์ ลูกชายนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย ในข้อหาทำร้ายร่างกาย โดยมี พ.ต.ท.สมเกษม จารักษ์ รอง ผกก.สส.สน.คลองตัน ร่วมสอบปากคำ
นายอิทธิในสภาพเบ้าตาขวาห้อเลือด กรามด้านขวามีบาดแผลปิดด้วยพลาสเตอร์ ให้การว่า เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 14 พฤษภาคม เดินทางไปจัดงาน "ชาวด์ซัมเมอร์" ของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับเพื่อน เพื่อหารายได้ช่วยมูลนิธิสว่างบูชาธรรม โดยจัดที่ร้านกรุ๊ฟ สุขุมวิท 63 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กระทั่งเวลาประมาณ 00.20 น. วันที่ 15 พฤษภาคม ปรากฏว่ากลุ่มวัยรุ่นที่มาเที่ยวเกิดมีเรื่องทะเลาะวิวาทภายในร้าน ระหว่างนั้นได้เข้าไปช่วยดึงชายคนหนึ่งที่กำลังปาขวดสุราใส่กลุ่มคู่กรณีออกมานอกร้าน ทั้งนี้ ขอยืนว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทะเลาะวิวาท
"จากนั้นนายต้นตระกูล ที่ผมเคยรู้จักกันในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น ได้มาเที่ยวร้านนี้ด้วย แต่ไม่ได้มากับกลุ่มผมที่จัดงานชาวด์ซัมเมอร์ ตอนนั้นนายต้นตระกูลเข้ามาต่อยหน้าผม 2 ครั้ง ต่อมานายเติมตระกูล น้องชายนายต้นตระกูล ก็เข้ามาต่อยผมอีก 2-3 ครั้ง และไม่รู้ใครอีกเข้ามารุมทำร้ายผมจนได้รับบาดเจ็บ จึงเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับต้นตระกูล และเติมตระกูล" นายอิทธิ กล่าว
พ.ต.ท.สมเกษม กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนายอิทธิ ผู้เสียหาย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มที่ทะเลาะวิวาท ระหว่างเกิดเหตุได้ไปร่วมจัดงานชาวด์ซัมเมอร์เท่านั้น แต่มีกลุ่มนักเที่ยวสองกลุ่ม โดยมีลูกชายของนายชูวิทย์ ที่ผู้เสียหายแจ้งความไว้ มาเที่ยวแล้วทะเลาะวิวาทรวมอยู่ด้วย จังหวะนั้นนายอิทธิ ผู้เสียหาย เข้าไปห้ามกลุ่มที่กำลังทะเลาะวิวาทกัน ทำให้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนถูกนายต้นตระกูลทำร้ายร่างกายแทน
"จากการสอบสวนสาเหตุที่เกิดการทะเลาะวิวาทในร้าน เนื่องจากนายต้นตระกูลพาแฟนไปเที่ยวด้วย และไปเจอกับกลุ่มคู่อริ ซึ่งเป็นแฟนเก่าของแฟนนายต้นตระกูล ทำให้เกิดเรื่องทะเลาะชกต่อยกันขึ้น" พ.ต.ท.สมเกษมกล่าว
พ.ต.ท.สมเกษม กล่าวต่อว่า เบื้องต้นทราบว่ามีผู้บาดเจ็บในคืนเกิดเหตุ 3-4 คน อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของร้านได้เข้ามาห้ามปราม ทำให้ทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบสวนอีกครั้งว่ามีใครและกลุ่มไหนบ้าง พร้อมทั้งจะเรียกนายต้นตระกูล และนายเติมตระกูล มารับทราบข้อกล่าวหาทำร้ายร่างกายเป็นเหตุทำให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ
"ชูวิทย์"แถลงลูกถูกรปภ.ช็อตไฟฟ้าเจ็บ
ที่สถานบันเทิง GROOVE เมื่อเวลา 21.30น.วันที่ 15 พ.ค.นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย พร้อมด้วยนายทัศนัย ปานะนนท์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58/63 ถ.เชื้อเพลิง แขวงช่องนนทรีย์ เขตยานนาวา กทม.หุ้นส่วนของร้านสถานบันเทิงกรุ๊ปผับ ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทของบุตรชายนายชูวิทย์
นายชูวิทย์ กล่าวว่า เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทในสถานบันเทิง กรุ๊ปผับ เมื่อคืนที่ผ่านมาว่า เป็นเหตุการณ์ชุลมุนระหว่างผู้มาเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งนี้ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าสถานบันเทิงย่อมมีการจำหน่ายสุราและอาจมีการดื่มจนมึนเมาทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ซึ่งระหว่างนั้นลูกชายของตนอยู่ใกล้กับจุดเกิดเหตุเกิดทำให้เกิดเข้าใจผิดกัน ทางรปภ.ที่ดูแลความเรียบร้อยได้ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าจี้นายต้นตระกูล และนายเติมตระกูล ลูกชายตนทำให้บาดเจ็บเล็กน้อย ซึ่งเรื่องนี้ตนได้มาเจรจากับทางฝ่ายเจ้าของร้านและแนะนำเรื่องการดูแลของรปภ.ของร้านไม่ควรให้ใช้อาวุธลักษณะเช่นนี้
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ตนอยากขอร้องให้ตามสถานบันเทิงอย่านำเครื่องช็อตไฟฟ้ามาใช้กับคนที่มาเที่ยวเพราะหากผิดพลาดเกิดกระแสไฟฟ้าช็อตอาจทำให้พิการแล้วใครจะรับผิดชอบ ซึ่งทางฝ่ายเจ้าของร้านก็ยินดีที่จะปรับปรุงและยืนยันจะไม่ให้รปภ.นำเครื่องช็อตไฟฟ้ามาใช้อีกต่อไป เรื่องนี้ตนอยากขอร้องฝ่ายบริษัทรปภ.ว่าไม่ควรจะไล่รปภ.คนก่อเหตุออกจากงาน ซึ่งต่อไปการจะดูแลรปภ.ควรจะใช้แบบอย่างการเข้าระงับเหตุด้วยความเข้มแข็งแต่นุ่มนวล
ด้านนายทัศนัย กล่าวว่า เหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมามีคนมาเที่ยวในร้านจำนวนมาก และมีการดื่นสุราจนเกิดการกระทบกระทั่งกัน จนทำให้ลูกนายชูวิทย์ ได้รับบาดเจ็บ ทางรปภ.ที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่นั้นเป็นรปภ.ของบริษัทที่ว่าจ้างให้มาดูแลจึงไม่ทราบว่ามีการนำอาวุธหรืออุปกรณ์การป้องกันตัวอย่างไรมาใช้ แต่หลังเกิดเหตุการณ์นี้แล้วก็ถือเป็นบทเรียน และได้กำชับกับทางบริษัทรปภ.ที่จะไม่ให้มีการนำอาวุธเหล่านี้มาระงับเหตุอีกต่อไป